พิมพ์หน้านี้ - สนั่นหวั่นไหว

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => ห้องฝึกเขียนกลอนตามฉันทลักษณ์ => ข้อความที่เริ่มโดย: เพรางาย ที่ 06 มีนาคม 2012, 07:33:PM



หัวข้อ: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: เพรางาย ที่ 06 มีนาคม 2012, 07:33:PM


สนั่นหวั่นไหว

ถมป่าสนั่นหวั่นไหว
ประกาศชีพใหม่ชื่นมื่น
มุดดินเนิ่นผ่านวันคืน
ฝนรื้นโผล่ผุดพร้อมเพรียง

ไต่ต้นชื่นลมชมฟ้า
กู่หาคู่ครองซ้องเสียง
สารรักชักนำร่วมเรียง
และเสี่ยงเชิญภัยสู่ตน

ปีกแก้วโบยบินกี่ครั้ง
ก่อนถูกจับขังมืดหม่น
หนึ่งพันธุ์อาหารของคน
รอดพ้นน้อยรายตายเปลือง

สัญญาณแล้งเยือนเพื่อนเก่า
ป่าคงพงศ์เจ้าสืบเนื่อง
ป่าม้วยย้ายไม้ไปเมือง
เหลือเรื่องจักจั่น...เพียงพรรณนา
.........................................................


(http://www.qzub.com/bar_069.gif) (http://www.qzub.com)

แบบว่า...ช่วงนี้คุณจักจั่นร้องเพลงให้ฟังทุกวันเลยค่ะ

emo_50


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: บัณฑิตเมืองสิงห์ ที่ 06 มีนาคม 2012, 07:51:PM
(http://www.qzub.com/bar_150.gif) (http://www.qzub.com)

เสพกลอนจักจั่นกลั่นถ้อย
ท่านร้อยเรียงนั้นหรรษา
แฝงหนึ่งน้ำคำปรัชญา
โอ้น่าชื่นจิตอภิรมย์

 emo_126

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_017.gif)

บัณฑิตเมืองสิงห์


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: ดาว อาชาไนย ที่ 06 มีนาคม 2012, 09:16:PM



เรียน คุณเพรางาย ที่นับถือ
คุณเพรางายสังเกตหรือเปล่าว่าจักจั่นเริ่มร้องตรงเวลาหรือเปล่า
ผมสังเกตว่าเมื่อเริ่มร้องจะตรงเวลาทุกวัน
คือเริ่มร้องเวลาประมาณ 18.40 น.  ถ้าตัวไหนร้องก่อนเวลา ตัวอื่นจะไม่ร้องรับ
ผมสังเกตมา ๓ ปีแล้ว
ทำไมมันร้องตรงเวลา คล้ายกับมีนาฬิกา
ผมถามสมาคมกีฎในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เขาก็ไม่ทราบ จะให้ผมจับไปให้เขาดู
เขาอยากทราบว่าเป็นพันธุ์ไหน  ก็ได้ความรู้ว่าจักจั่นมีหลายพันธุ์


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 06 มีนาคม 2012, 09:43:PM
(http://3.bp.blogspot.com/-0lKYx-9zYeE/TboLD5ymv0I/AAAAAAAAAok/KwUpqIRAaOE/s1600/20091230121811.jpg)
ขอบคุณภาพ "จักจั่น" จาก google.com


ยินจักจั่นรำพันหนัก
คึกคักสะท้านลานป่า
กึกก้องโหยหวนครวญมา
สื่อว่าอาลัยไพรวัน

เป็นห่วงพฤกษาป่าใหญ่
ภูไพรที่พักจักจั่น
จะหายสูญลับดับพลัน
กับวันคืนผ่านกาลเยือน

เป็นห่วงต้นน้ำลำธาร
แดดจ้านน้ำแห้งแล้งเขื่อน
หมู่มวลสัตว์ป่าสะเทือน
ลางเลือนร่มไม้ใบบัง

หนักหน่วงจักจั่นกระชั้นหนัก
หวังพักพิงไพรในหวัง
ยังคอยป่าผืนยืนยัง
ทุกครั้งบินเล่นเป็นทุกข์ ฯ

              อริญชย์
         ๖/๓/๒๕๕๕




 emo_107 emo_60 emo_107


"ทุ่งอีสาน" เพลงนี้มีจักจั่น


http://www.youtube.com/watch?v=nQRNDtnmu2E


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 06 มีนาคม 2012, 11:34:PM

จักจั่นเรไรร่ำร้อง
แซ่ซร้องพงไพรให้ลั่น
กรีดปีกเรียกคู่รู้กัน
พระจันทร์หรุบหรู่เดียวดาย

บัดนี้ป่าดงว่างเปล่า
ภูเขาหัวโล้นเรียงร่าย
ต้นน้ำแห้งขอดวอดวาย
ยืนตายยืนต้นฝนแล้ง

สัตว์ป่าโดนล่าสาปสูญ
ป่าไม้ไร้มูลทุกแห่ง
เหลือเพียงนกน้อยด้อยแรง
กับแหล่งจักจั่นเรไร

"ไพร พนาวัลย์"
มาร่วมแจมเพลงป่าเรไรครับ
ฟังแล้ว คิดถึงบ้านเราจัง
ไม่เคยแต่งกลอนหก และไม่รู้หลักเกณฑ์อะไรเลย
คุณงายโปรดชี้แนะด้วยเทอญฯ
 emo_126


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: เพรางาย ที่ 07 มีนาคม 2012, 07:01:AM

๗ มีนาคม ๒๕๕๕
มาฆฤกษ์

ขอบคุณ คุณบัณฑิตเมืองสิงห์ ที่มาต่อกลอนให้ค่ะ คุณงายว่ากลอนคุณงายออกเศร้านิดๆ นะคะ เข้ากับบรรยากาศของหน้าแล้งล่ะมั้ง


ขอบคุณ  คุณอริญชย์ที่มาต่อกลอนให้  คุณงายสงสัยว่าว่า จั่นจัก คือการสลับคำของคำว่า จักจั่นเพื่อให้รับสัมผัสกลอน  หรือมีความหมายอื่น  พยายามแปลคำว่า จั่นจัก  ว่าจะหมายถึงจั่นดักสัตว์ที่ทำด้วยตอกหรือเปล่า  แต่จั่นที่ทำด้วยตอกมันคงไม่แข็งแรงเท่าไหร่มั้ง


ขอบคุณ  คุณดาว อาชาไนย ที่มาอ่านและฝากข้อสงสัย  คุณงายไม่เคยสังเกตแฮะ ว่าคุณจักจั่นมันเริ่มร้องช่วงไหน  ขอให้พ้นช่วงสอบก่อนนะคะ จะตั้งใจสังเกต  เพราะว่าเสียงจักจั่นที่ดังลั่นให้ได้ยินทุกวันนั้นเป็นเสียงคุณจักจั่นที่โรงเรียนค่ะ  โรงเรียนมีสวนหย่อมที่ปล่อยไม้พื้นเมืองรุ่นๆ ให้เติบโตอยู่  เวลาสายๆ แดดกรุ่นๆ คุณจักจั่นเขาจะระดมพลบรรเลงเพลงประสานเสียง  คุณงายว่าเหมือนเพลงสะกดจิตเลยค่ะ  ฟังไปหาวไปทั้งครูทั้งนักเรียน


ขอบคุณ คุณไพร ปรางค์ ที่มาลองแต่งกลอนหกเล่นด้วย  มีคนบอกว่าเบื่อกลอนแปด  คุณงายก็เลยเพิ่งสังเกตว่าช่วงนี้ตัวเองแต่งกลอนแปดบ่อยจัง  เลยหั่นลงเป็นกลอนหกซะหน่อย  กำลังอยู่ระหว่างสอบเลยไม่กล้าแต่งกลอนมากนัก  แต่งกลอนทีก็ตั้งเป็นชั่วโมง  กระทบกระเทือนการทำงานน่ะค่ะ
 
กลอนคุณปรางค์แต่งออกมาได้ดีค่ะ  เล่าความไปตามลำดับ  และส่งรับสัมผัสตรงตามฉันทลักษณ์แล้ว  ถ้าจะหาข้อที่น่าปรับแปลงก็มีอยู่แห่งเดียวคือ การับสัมผัสคำว่า แล้ง  กับ แหล่ง  ค่ะ  ถ้าเป็นการแต่งธรรมดาทั่วไปสองคำนี้คือคำที่ใช้พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน  แต่ต่างวรรณยุกต์  พอจะใช้รับสัมผัสกันได้  แต่ถ้าเป็นประกวดชิงรางวัลทั้งหลายถือว่าไม่ได้เพราะใช้พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน  ถ้าเป็นการแต่งกลอนต่อกัน  อ่านกัน  บางทีคุณงายก็ไม่เคร่งเจ้ากฏย่อยข้อนี้นัก  แต่ตอนส่งกลอนไปสโมสรสมานมิตรโดนคุณหญิงกุลทรัพย์จับปรับคำซะ  ก็เลยเตือนไว้ให้ทราบค่ะ  เพราะกว่าคุณงายจะทราบกฎย่อยข้อนี้ก็แต่งกลอนไปหลายสิบปีค่ะ  การบอกกล่าวกันเป็นทางลัดของการเรียนรู้  จึงขอฝากๆ ไว้หน่อย

อ่านกลอนของคุณไพร ปรางค์ แล้วแอบเศร้าค่ะ  คิดถึงปัญหาไฟป่าทางภาคเหนือตอนนี้  ขณะที่จักจั่นบ้านเรากำลังร้องจับคู่ผสมพันธุ์  จักจั่นแถบนั้นคงถูกไฟเผาตายไปไม่ใช่น้อย  จักจั่นใช้เวลาเจริญเติบโตอยู่ในดินหลายปี  บางพันธุ์ห้าหกปี แต่พันธุ์ที่นานหน่อยก็สิบกว่าปี เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ต้องรอให้ฝนตกใส่ให้ดินอ่อนจึงจะมุดขึ้นมาสัมผัสโลกภายนอก(อันนี้ชาวบ้านเล่าให้ฟังค่ะ) ถ้าปีไหนฝนไม่ตกช่วงหน้าแล้ง  จักจั่นก็จะไม่ได้ออกมา ไม่รู้ว่าตายไปใต้ดินบ้างรึเปล่า  แต่จักจั่นภาคเหนือนอกจากจะมุดดินไม่ได้อาจจะกลายเป็นจักจั่นอบอยู่ใต้ดินอีกด้วย  สงสารคุณแมลงทั้งหลายจัง  สัตว์ป่าไม่เคยเผาป่าให้คนเดือดร้อน  ทำไมคนเราต้องเผาป่าจนเดือดร้อนกันทั่วด้วย....


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: พิมพ์วาส ที่ 07 มีนาคม 2012, 11:16:AM
               นอนมองฟ้าฟังเสียงจักจั่น

                    (http://picth.com/get/mNiel/jugjun_resize.jpg)
                    (ขอบคุณภาพจาก Internet ค่ะ)
 
                         แผ่กายาตามองบนท้องฟ้า
          กลิ้งบนหญ้าคราเมื่อยกายเหนื่อยอ่อน
          ดวงตะวันพลันต้องทอส่องรอน
          ได้พักผ่อนหยอนกายสบายใจ

                         ดูฟ้าโยงโค้งเส้นงามเป็นริ้ว
          ลมเย็นพลิ้วปลิวชายผ้าฝ้ายไหว
          กลิ่นข้าวเจ้าเฝ้าโปรยหอมโชยไกล
          เสียงธารไหลใกล้ทุ่งหอมฟุ้งดิน

                         ยามบ่ายอ่อนนอนพักฟังจักจั่น
          กรีดปีกลั่นพลันก้องทั่วท้องถิ่น
          คล้ายบรรเลงเพรงกานท์ผสานจินต์
          มาร้อยรินศิลป์ไพรแห่งป่าพง


หัวข้อ: Re: สนั่นหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: รพีกาญจน์ ที่ 08 มีนาคม 2012, 05:57:AM

เดินเลียบดอย สองข้าง ทางไปสวน
พอถึงจวน คันจมูก ป่าถูกเผา
ลอยเข้าตา เจ็บแปลบ แสบไม่เบา
ดินร้อน.เร่า แห้งหน ฝนไม่มา

หญ้าขึ้นรก ปกคลุม ลุ่มนาไร่
เพื่อนพ่นใช้ เคมี ที่แรงฆ่า
สัตว์อาศัย ในดิน สิ้นชีวา
จับต้นไม้ ใบหญ้า ตกมาตาย

ที่เหลือบ้าง ผุดดำ หนีน้ำปริ่ม
ขาเกาะริม ไม้พลัน มันก็สาย
ถูกจับชุบ แป้งทอด จนวอดวาย
กินบ้างขาย รสโอชา ราคาแพง

ต่อนี้ไป ได้ดูร่าง ทางจอเน็ต
ฟังเสียงเอ็ด ก้องเมือง จากเครื่องแต่ง
เป็นนิทาน อ่านเล่า เขาแสดง
นักร้องแห่ง พงไพร ไร้เทียมทัน

อยู่ในบ้าน ชานป่า ไร่นาเถียง
ไม่มีเสียง ร้องทัก จักจั่น
ไม่มีเสียง จิ้งหรีด กรีดไพรวัน
ดังสนั่น หวั่นไหว ใช่รถงาน

รพีกาญจน์ 59