พิมพ์หน้านี้ - มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

จิปาถะ => เรื่องทั่วไป => ข้อความที่เริ่มโดย: นายขี้เหร่ดำปืด ที่ 08 พฤศจิกายน 2008, 12:43:PM



หัวข้อ: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: นายขี้เหร่ดำปืด ที่ 08 พฤศจิกายน 2008, 12:43:PM
สวัสดีคับวันนี้ผมมีสาระมาฝาก(แต่ก่อนไม่มีเลยคิคิ) ก็ไม่รู้ว่ามีใครโพสไปหรือยังนะครับถ้ามีแล้วก้ขออภัยด้วย

วันนีผมมีแผ่นพังของกลอนไทยมาฝากหลายๆคนอาจจะแต่งกลอนไม่ถูก(มีหรือเปล่า)หรือว่าไม่ตรงตาม อย่างที่เป็นนะคับ(คงเข้าใจที่พูดนะผมอธิบายม่ะค่อยถูก)
มาเริ่มเลยละกัน
มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ

                                 (http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem8.gif)
กลอน 1 บท จะมี 2 บาท หรือ 2 คำกลอน บาทแรกเรียก บาทเอก ประกอบด้วย วรรคสดับ กับ วรรครับ บาทที่ 2 เรียก บาทโท ประกอบด้วย วรรครอง กับ วรรคส่ง  ดังรูป                             
                                (http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem_8.gif)


                                 (http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem4.gif)
โคลงสี่สุภาพ 1 บท จะมี 4 บาท วรรคหน้าของทุกบาทจะมี 5 คำ วรรคหลังของบาทที่ 1 2 และ 3 มี 2 คำ แต่เพิ่มสร้อยในวรรคที่ 2 ของบาทที่ 1 และ 3 ได้อีกบาทละ 2 คำ วรรคหลังของบาทที่ 4 มี 4 คำ บังคับเอก 7 แห่ง คำโท 4 แห่ง และกำหนดสัมผัสดังนี้
                                (http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem_4.gif)

คำแนะนำในการแต่งโคลง
1. คำที่ 4 และ 5 ในบาทที่ 1 สับตำแหน่งคำเอกและโทกันได้ เช่น ออกจากปาก น้ำน่าน หนองพราย
2. ให้ใช้คำตายแทนตำแหน่งบังคับคำเอกได้
3. ในตำแหน่งบังคับคำเอก คำโท ให้ใช้เอกโทษ และ โทโทษ แทนได้ตามลำดับ เช่น ใช้ ฟ่า แทน ฝ้า เป็นเอกโทษ ใช้ เฉ้น แทน เช่น เป็นโทโทษ แต่พึงใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
4. คำสุดท้ายของบาทที่ 1 (ไม่นับคำสร้อย) นิยมเสียงจัตวา และ สามัญ ห้ามคำที่ใช้รูปวรรณยุกต์เอก โท ตรี เสียงเอก โท ตรี ในคำตายใช้ได้
5. คำสุดท้ายของวรรคหน้าในบาทที่ 2 และ 3 ใช้แบบเดียวกับคำสุดท้ายของบาทที่ 1
6. คำสุดท้ายของบทนิยมเสียงจัตวาและสามัญ ห้าม เสียงเอก โท และ ตรี

กล่าวก่อนเรื่องกาพย์
คำว่า "กาพย์" มีทั้งความหมายกว้างและแคบ ในความหมายกว้างซึ่งเป็นความหมายเดิม หมายถึง บทประพันธ์ที่ได้ร้อยกรองขึ้น ไม่จำกัดว่าเป็นคำประพันธ์ชนิดใด เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ หรือ ร่าย ฯลฯ นับว่าเป็นกาพย์ทั้งสิ้น แต่มักใช้ในความหมายที่แคบ คือ หมายถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่คล้ายฉันท์มักใช้แต่งปนกับคำประพันธ์ประเภทฉันท์ แต่ไม่กำหนด ครุ ลหุ อย่างฉันท์ จริงๆแล้วกาพย์มีอยู่หลายชนิด แต่เราจะกล่าวถึงเพียง 3 กาพย์ในที่นี้คือ กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และ กาพย์สุรางคนางค์


                                           (http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem11.gif)
(http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem_11.gif)
(http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem16.gif)
(http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem_16.gif)
(http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem28.gif)
(http://www.kbyala.ac.th/digital-lib-m5-44/poem/Poem_28.gif)



ที่มา...http://www.kbyala.ac.th   



หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: มั่น แซลี้ ที่ 08 พฤศจิกายน 2008, 04:07:PM
หูย...ผมไม่ชอบของถูกอ่ะ ผมชอบของแพงอ่ะ
อิอิอิ ล้อเล่นน่ะครับ

ได้ความรู้มากเลยครับ ผมแต่งกาพยานี 11 ผิดมาตลอดเลย
เพิ่งรู้ก็จากตรงนี้แหละครับ

แต่โคลงสี่สุภาพเนี้ย ลองแต่งทีหนึ่งโครตยากเลย
แต่แค่ทีเดียวเอง

หรือเพื่อนๆมีตัวอย่างเป็นกลอนเป็น กาพมะพร้าว เอ้ย!!!ไม่ใช่ๆ
กาพย์เอามาโพสให้ดูก็ดีน่ะครับ

 emo_28 emo_28 emo_28 emo_28 






หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: เพลงผ้า ที่ 08 พฤศจิกายน 2008, 04:49:PM
หูย...ผมไม่ชอบของถูกอ่ะ ผมชอบของแพงอ่ะ
อิอิอิ ล้อเล่นน่ะครับ

ได้ความรู้มากเลยครับ ผมแต่งกาพยานี 11 ผิดมาตลอดเลย
เพิ่งรู้ก็จากตรงนี้แหละครับ

แต่โคลงสี่สุภาพเนี้ย ลองแต่งทีหนึ่งโครตยากเลย
แต่แค่ทีเดียวเอง

หรือเพื่อนๆมีตัวอย่างเป็นกลอนเป็น กาพมะพร้าว เอ้ย!!!ไม่ใช่ๆ
กาพย์เอามาโพสให้ดูก็ดีน่ะครับ

 emo_28 emo_28 emo_28 emo_28 





+55555 กาพมะพร้าว  คิดได้อีกแย้ววพี่มั่น   เชื่อเค้าเล้ยย
ซะดีมั๊ยเนี๊ยย....emo_32


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: webmaster ที่ 08 พฤศจิกายน 2008, 05:52:PM
ได้ความรู้ดีเอาไป +3 เล๊ย น้องชาย  emo_28 emo_28


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Alpha ที่ 09 พฤศจิกายน 2008, 02:26:PM
แนะนำเพิ่มเติมสำหรับกาพย์นะคะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://thaiarc.tu.ac.th/poetry/kaap/index.html

กาพย์ยานี11
กาพย์ยานีลำนำ....................สิบเอ็ดคำจำอย่าคลาย
วรรคหน้าห้าคำหมาย............วรรคหลังหกยกแสดง

ครุลหุนั้น................................ไม่สำคัญอย่าระแวง
สัมผัสต้องจัดแจง.................ให้ถูกต้องตามวิธี

กาพย์ฉบัง16
ฉบังสิบหกควร.......................ถ้อยคำสำนวน
พึงเลือกให้เพราะเหมาะกัน
วรรคหน้าวรรคหลังรำพัน......วรรคหนึ่งพึงสรร
ใส่วรรคละหกคำเทอญ
วรรคสองต้องสี่คำเชิญ.........แต่งเสนาะเพราะเพลิน
ใครได้สดับจับใจ

กาพย์สุรางคนางค์28
...............................................สุรางคนางค์
กำหนดบทวาง......................ยี่สิบแปดคำ
บทหนึ่งเจ็ดวรรค..................เป็นหลักพึงจำ
วรรคหนึ่งสี่คำ.......................แนะนำวิธี

...............................................หากแต่งหลายบท
จำต้องกำหนด......................บัญญัติจัดมี
คำท้ายวรรคสาม..................ต้องตามวิถี
สัมผัสกันดี...........................ท้ายบทต้นแล

กาพย์สุรางคนางค์32
กาพย์หนึ่งนามอ้าง..............สุรางคนางค์
กำหนดบทวาง.....................สามสิบสองคำ
บทหนึ่งแปดวรรค................เป็นหลักพึงจำ
วรรคหนึ่งสี่คำ......................แนะนำวิธี

โบราณวางกฎ.....................หากแต่งหลายบท
จะต้องกำหนด....................บัญญัติจัดมี
วรรคสี่คำท้าย.....................ต้องให้ถูกที่
สัมผัสกันดี..........................ท้ายบทต้นแล


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ท้องฟ้าสีชมพู ที่ 03 มีนาคม 2009, 09:19:PM
งืมๆ
รู้สึกว่มันจะไม่คอ่ยเหมือนที่ได้จำมาจากที่ครูสอนเท่าไหร่นะคะ
แต่ว่ายังก็ขอบคุณมากๆนะคะ
สำหรับความรู้นี้
ท้องฟ้าน้อยๆนี้จะจดจำและนำไปใช้ค่ะ
 emo_54 emo_28


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าน้อยขอฝากตัว ที่ 04 มีนาคม 2009, 08:12:AM
ลักษณะบังคับทั่วไปของคำประพันธ์

     1. ลักษณะบังคับทั่วไป  หมายถึง  ลักษณะบังคับที่คำประพันธ์ทุกชนิดต้องมี  ได้แก่  คณะ  กับ  สัมผัส
          1.1  คณะ  มี 2  ความหมาย  ความหมายที่เป็นในลักษณะบังคับเฉพาะชนิดของ  "ฉันท์"  เรียกว่า  "คณะฉันท์"  ได้แก่เสียงครุลหุเรียงกัน  3  เสียง  ในฉันท์วรรณพฤติ  และเสียง  ครุ-ลหุ เรียงกัน  4-5 มาตรา  ในฉันท์  มาตราพฤติ  โดยนับครุ = 2  มาตรา  ลหุ =  1  มาตรา  ซึ่งไทยรับมาจากอินเดีย  แต่ในคำประพันธ์เลือกใช้เฉพาะฉันท์วรรณพฤติเท่านั้น   เพราะ  ฉันท์มตราพฤติค่อนข้างจะยุ่งยาก   
          ส่วนในความหมายที่ของลักษณะบังคับทั่วไป  คณะ  คือ  ลักษณะบังคับของคำประพันธ์  1  บท  ที่ประกอบด้วยส่วนย่อยดังนี้
               -  บท
               -  บาท
               -  วรรค
               -  คำ

          "บท"  ได้แก่คำประพันธ์ที่ลงความตอนหนึ่ง ๆ  เช่น  โคลงสี่สุภาพ  4  บาท  เป็น 1  บท (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 : 453)  กล่าวอีกนัยหนึ่ง  "บท"  ก็คือ  คำประพันธ์  1  ตอน  ที่มีองค์ประกอบของฉันทลักษณ์ครบถ้วน  เช่น
               โคลงสี่สุภาพ 1 บท  ประกอบด้วย  4  บาท   30  คำ  มีวรรณยุกต์เอก  7  แห่ง  วรรณยุกต์โท  4  แห่ง  ส่ง-รับสัมผัส  3แห่ง  ตามตำแหน่งที่บังคับ  อาจมีคำสร้อยได้  2 แห่ง   คือ  ท้ายบาทแรก  และ ท้ายบาทที่สาม
               กลอนแปด  1  บท   ประกอบด้วย  2  บาท  4 วรรค  วรรคละ  8  คำ  ส่ง  -  รับสัมผัส  4 แห่ง  ตามตำแหน่งที่บังคับ
              สักวา  1  บท  ประกอบด้วย  4  บาท  8  วรรค  วรรคละ  7-9  คำ  ส่ง  -  รับสัมผัส  7 แห่ง  ตามตำแหน่งที่บังคับ  ขึ้นต้นบทด้วยคำว่า "สักวา"  ลงท้ายด้วยคำว่า "เอย"   
ฯลฯ
[/font][/size]


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าน้อยขอฝากตัว ที่ 04 มีนาคม 2009, 08:24:AM
        "บาท"  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2525 : 469)  ให้ความหมายว่า  บาท น. ส่วนหนึ่งของบทแห่งคำประพันธ์...   คำประพันธ์ที่มีลักษณะบังคับย่อยเป็นบาท  ได้แก่  กลอน  โคลงสี่  โคลงห้า  กาพย์ยานี  และฉันท์ที่บังคับบรรทัดละ  2  วรรค  ดังนั้น  ลักษณะสำคัญของบาทก็คือ  คำ  ประพันธ์  2  วรรค  ซึ่งอาจมีจำนวนคำในวรรคเท่ากันหรือไม่ก็ได้   เช่น

          โคลงสี่  1  บาท  มี 2 วรรค  แบ่งเป็น  5  -  2  และ  5  -  4
     "กาจับกาฝากต้น                  ตุมกา
กาลอดกาลากา                          ร่อนร้อง
เพกาหมู่กามา                           จับอยู่
กาม่ายมัดกาซ้อง                       กิ่งก้านกาหลง"
                                                                                         (ลิลิตพระลอ)

          กาพย์ยานี  1  บาท  มี  2  วรรค  แบ่งเป็น  5  -  6
     " เรื่อยเรื่อยมารอนรอน           ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ                          คำนึงหน้าเจ้าตาตรู"
                                                                                           (กาพย์เห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

          วสันตดิลกฉันท์ 14   1 บาท   มี 2  วรรค  แบ่ง  เป็น  8  -  6
     "บราลีพิลาสศุภจรูญ                  นภศูลประภัสสร
หางหงส์ผจงพิจิตรงอน                 ดุจกวักนภาลัย"
                                                                                            (สามัคคีเภทคำฉันท์)

          กลอนหก  1  บาท   มี  2  วรรค  แบ่งเป็น  6  -  6
     "เห็นนางนวลศรีมีโฉม                    ดั่งโสมส่องหล้าราศรี
เนาเรือเหนือสรัทปัทมี                         ตรณีจันทร์นวลชวนชม"  
                                                                                               (กนกนคร)

     ข้อควรสังเกตประการหนึ่ง  คือ  คำประพันธ์ที่แบ่งย่อยเป็นบาท  เป็นคำประพันธ์ชนิดที่ 1  บท  บังคับจำนวนวรรคคู่  เช่น  4  วรรค  8  วรรค  เป็นต้น  และวางรูปคำประพันธ์บรรทักละ  2  วรรค
     สำหรับคำประพันธ์ประเภทกลอน  "บาท"  มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "คำกลอน"  หรือ  "คำ"
     อนึงคำประพันธ์ที่กำหนด  2  บาท  เป็น  1  บท  เช่น  กลอน  และกาพย์ยานี   บาทแรกเรียกว่า  "บาทเอก"  บาทที่สอง  เรียกว่า  "บาทโท" 


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าน้อยขอฝากตัว ที่ 04 มีนาคม 2009, 08:34:AM
ส่วนเรื่อง  ของ  วรรค  กับ  คำ  คงไม่ต้องอธิบาย   อะไรนะ   เอาสักนิดและกัน

    -  วรรค  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "กลอน"  อย่าสับสนนะจำดีๆ  เห็นใครเรียกกลอนแทนวรรคก็อย่าไปงง
  
นอกจาก  "กลอน"  แล้ว  "วรรค"  ยังใช้ว่า  "บ่อน"   ได้อีกคำหนึงเช่นกัน   ดังตัวอย่าง   ในประชุมลำนำ   หน้า  59  และ  63  ลองหาอ่านดูนะถ้าสนใจ

     กลอนสุภาพแปดคำประจำบ่อน                        อ่านสามตอนทุกวรรคประจักษ์แถลง
ตอนต้นสามตอนสองสองแสดง                            ตอนสามแจ้งสามคำครบจำนวน
    กำหนดบทกะระยะกะสัมผัส                             ให้ฟาดฟัดชัดความตามกระสวน
วางจังหวะกะทำนองต้องกระบวน                         จึงจะชวนฟังเสนาะเพราะจับใจ
                              ----------------------------------------
        
                                                   กลอน  8
                      บัญญิต  8  อักษร  เป็นกลอน   2กลอนเป็นคำ    2คำเป็นบท       <<<<<  ไม่งงนะตามที่อธิบายไว้ข้างต้น

     กลอนแปดเป็นบัญญัติพิกัดไว้                              กำหนดในบ่อนบาทไม่ขาดเขิน
วรรคละแปดอักษรไม่หย่อนเกิน                               อย่าให้เยิ่นเย้อไปฟังไม่ดี
     บทหนึ่งนั้นสี่กลอนผ่อนจำกัด                              มีบัญญัติจัดนามไว้ตามที่
คือสดับรับรองส่งจำนงมี                                         จงแจ้งใจในคดีวิธีกลอน
     ในวรรคทุกวรรคจักกำหนด                                คือเทียมรถเทียมแอกแซกอักษร                 **เทียมรถ  เทียมแอก  คู่เคียง  พวกนี้คือรูปแบบการเล่นสัมผัสใน*
อีกคู่เคียงเรียงคำร่ำสุนทร                                        ทบเทียมทวนทับซ้อนอักษรกัน
     เป็นคำล้อเลียนคำเล่นสัมผัส                                  แบบบัญญัติยอกย้อนดูผ่อนผัน
ให้คล่องต้องจังหวะคณะกัน                                     อ่านให้ครั่นครวญฟังวังเวงใจ


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ขวด ที่ 07 เมษายน 2009, 09:02:AM
มีอีกกลอนถ้าจะแต่งให้ถูกมิต้องมีสัมผัส
ลืมครุ-ลหุเอกโทเสียให้สิ้น
มิต้องมีคำเป็นคำตายหน่ายกบาล
แค่แต่งไปตามใจใครจะว่าอะไร
(แต่งตามฉันทลักษณ์บ้างก็ดีนะครับอนุรักษ์ไว้ก็ดี)


หัวข้อ: Re: มาแต่งกลอนกันให้ถูกกันเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ขวด ที่ 14 เมษายน 2009, 02:36:PM
โคลงห้า เป็นโคลงโบราณ มีสี่บาท มีวรรคสองวรรคแบ่งเป็น วรรคบังคับ และ วรรคสร้อย ดังตัวอย่าง
 
   นานาอเนกน้าว               เดิมกัลป์
จักรร่ำจักราพาฬ               เมื่อไหม้
กล่าวถึงตระวันเจ็ด            อันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ขอดหาย
   เจ็ดปลามันพุ่งหล้า          เป็นไฟ
วาบจตุรบาย                      แผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า
แลบ่ล้ำสีลอง
                                 (ลิลิตโองการแช่งน้ำ)
 บาทหนึ่งมีห้าคำ บทหนึ่งมียี่สิบคำ มีคำสร้อยสองคำ ในทุกบาท คำสร้อยลงด้วยถ้อยคำธรรมดา
สัมผัสอยู่ท้ายบาทถ้ามีสร้อยอยู่ท้ายสร้อย
บาทสุดท้ายของบาทที่หนึ่งหรือถ้ามีสร้อยให้ใช้สรอยสุดท้ายของบาทที่หนึ่ง สัมผัสกับคำที่ หนึ่งหรือสองหรือสามหรือสี่ ของบาทที่สาม
บาทที่สองก็เช่เดียวกับบาทที่หนึ่งแต่สัมผัสกับบาทที่สี่
ถ้าจะมีอีกบทให้คำสุดท้ายของบาทที่สาม หรือถ้ามีคำสร้อยให้ใช้คำสร้อยสุดท้าย สัมผัสกับคำที่หนึ่งหรือสองหรือสามหรือสี่ของบาทที่หนึ่งในบทต่อไป
และให้บาทที่สี่เช่นเดียวกับบาทที่สามแต่สัมผัสในบาทที่สองของบทถัดไป

บังคับให้มีเสียงโทแต่ไม่มีเสียงเอก คำโทที่บังคับนั้นมีสองตัวคือ   ท้ายบาทที่สองแต่ถ้ามีคำสร้อยของบาทที่สองให้ใช้คำสุดท้ายของคำสร้อย
และคำที่สามของบาทที่สี่

อนึ่ง วรรณคดีที่ใช้โคลงห้ามีปรากฎแต่ในลิลิตโองการแช่งน้ำที่แต่งกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยเท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครนิยมแต่งกัน
โคลงห้ามีอีกชื่อหนึ่งคือ มณฑกคติ