O แห่งห้วง..มหรรณพ ...O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
05 ธันวาคม 2024, 05:39:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O แห่งห้วง..มหรรณพ ...O  (อ่าน 13129 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
08 มีนาคม 2014, 10:23:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« เมื่อ: 08 มีนาคม 2014, 10:23:PM »
ชุมชนชุมชน

(ที่มา .. บล็อค "วรรณประทีป .. สดายุ" )
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=07-2011&date=19&group=24&gblog=20

....อารัมภบท....


๑. ล่องลอยเอย...
ชะลอเผย..ภาคลงสู่สงสาร
สืบเยื่อใยผูกพันแห่งวันวาน
ร่วมโอบกล่อมทรมาน..ให้ลาญรอย

๒. กระแสเสียงสังคีตประณีตเสนาะ
ก็รินเซาะโสตแล้ว..เพียงแผ่วค่อย
ก่อนจำหลักรูปนิมิต..สู่จิตคอย
จนเกินคล้อยคิดล้างให้จางเลือน

๓. วิเวกท่ามน้ำค้าง..ผุดพร่างหยด
ลมตอบบท..ดาวพร้อยแขคล้อยเคลื่อน
หอมโกสุมกำจรกลิ่นย้อนเยือน
แผ่วผ่านเตือนสำทับ..ให้รับรู้

๔. ลอออ่อนหอมพรม-ผ่านลมร่ำ
ให้ดื่มด่ำอาวรณ์ที่ย้อนสู่
แฝงม่านหม่นมืดดำ..ความดำรู
คล้ายรออยู่..ผูกพันตามสัญญา

๕. คำนึงฝ่าช่วงภพ, พระลบคร่อม
ผ่านทะเลดาวล้อมแสงห้อมหา
เผยร่องรอยเพรงกาลแต่นานมา
กลางนิทราลึกล้ำแห่งค่ำนี้

๖. กระแจะจันทน์ห้อมห่มร่ำลมโบก
ราวจะโกรกกล้ำร้ายให้ถ่ายหนี
ก่อนรื่นหอมกุสุมา..ดอกราตรี
จักคลายคลี่คลุมฆาน แต่กาลนั้น


....โฉมสะคราญสุดแดนดิน....


๗. พลิ้วพรายแห่งเศวตพัสตร์สะบัดผืน
พร้อมกลิ่นรื่นห้อมให้...ห้วงใจสั่น
ชดช้อยร่างแอบแฝงใต้แสงจันทร์
เพื่อแต่งฝันแอบ-ออ..ผู้รอคอย

๘. เสมือนร่างนิ่งหลับ..ใจกลับตื่น
เมื่อหอมรื่นลงเคล้า-เงียบ, เหงา, หงอย
หลังเพรียวร่างแทรกสงัดลงหยัดรอย
กระซิบถ้อยก็รุมเร้ากระเซ้าทรวง

๙. ในท่ามกลางรัตติภพ-พระลบล้อม
ก็ถึงพร้อมรูปแหนจากแดนสรวง
ลำดับนั้นจันทร์แจ่ม..ยอมแรมดวง
และงามปวง..ศิโรราบ ณ คาบนั้น

๑๐. จวบตาผู้หลับใหลเริ่มไหวตื่น
เมื่อใครยืนตรงหน้า..รูปพร่าสั่น
ร่างทะลึ่งผลุนนั่ง...ขนตั้งชัน
นี่ใครกัน..มายืน-ยิ้มรื่นตา

๑๑. ภูษิตขาวลมส่ายปัดป่ายริ้ว
เกศาปลิวเส้นส่ายปัดป่ายหน้า
แล้วราตรีหอมละมุนก็กรุ่นมา
แต่งรูปรอยปริศนา..ติดคาใจ

๑๒. งามขนง-วงพักตร์เลิศลักษณ์ล้ำ
ประกายน้ำเนตรพรับวับวับไหว
นาสิกโอษฐ์นลาตปรางดั่งนางใน-
ดุสิดาฟ้าไกล..มาให้ชม

๑๓. ขยี้ตาเกรงว่า..จะตาฝาด
แม้นหวั่นหวาด -กล้ำกลืนต้องฝืนข่ม
รำงับความวุ่นว้าในอารมณ์
เมื่อเนตรคมวาบแวว..พลิ้วแผ่วมา

๑๔. เป็นอัปสรทิพสุรางค์ หรือนางไม้
เพียงคิดไป..แว่วดังตอบกังขา
เป็นคนสิ...เคลื่อนขยับเห็นกับตา
รูปร่าง-หน้า...ฤๅเห็นไม่เป็นคน

๑๕. โอษฐ์ขยับยั่วล้อ..พูดต่อคำ
ราวตอกย้ำรำงับความสับสน
แล้วชดช้อยย่างยกอยู่วกวน
เฝ้าชวนสนทนาอยู่..อย่างรู้ใจ

๑๖. คนผู้นอนดึกดื่น..ย่อมตื่น-ช้า
ยากรู้ว่าตรู่สาง..เป็นอย่างไหน
หากวันนี้รอบร่าง..นั้นต่างไป
มีความงามผ่องใส..เดินไหววน

๑๗. ในห้องหับชายหนุ่ม..มาซุ่มซ่อน
คำจักค่อนติฉิน..ทั่วถิ่นหน
ใช่แห่งที่ให้สนุกเที่ยวซุกซน
แต่ไว้ค้นตำราวิชาการ

๑๘. กลางค่ำคืนเงียบสนิท..เหมาะคิดนึก
จดจารึกถ้อยคำ..ไว้ย้ำอ่าน
จวบแสงสางเบิกฟ้า..ทิวากาล
จักสำราญห้วงจิต..ในนิทรา

๑๙. ค่ำคืนนี้หลับฝันไม่ทันจบ
ต้องพลันพบใครหนึ่ง..อยู่ซึ่งหน้า
ขอนอนเถิด..สว่างแล้วแม่แก้วตา
แล้วค่อยย้อนกลับมาร่วมพาที


....มหาบัณฑิตนครหลวง....


๒๐. ย่างสิบเก้าโดยวัยของชายชาติ
เฝ้ามุ่งมาดปรารถนาทำหน้าที่
ของลูกโทนวรรณะคหบดี
ให้สองบุพการี..ได้ปรีดา

๒๑. จบโทยังไม่พอจะต่อเอก
ด้วยปัจเจกนิยมลึกในศึกษา
มีจิตใจตั้งมั่นทางปัญญา
ส่วนการค้าการขาย..กลับคล้ายเมิน

๒๒. เรียนเร็วกว่ามิตรสหายอยู่หลายปี
จนสุดที่สุดทางจักย่างเหิน
จำต้องเพิ่มเติมทางให้ย่างเดิน
ใช่เพื่อความเพลิดเพลินผลาญเงินทอง

๒๓. เฝ้าศึกษาสมาธิ..ทอนวิตก
คอยหยิบยกข่มคิดยามจิตล่อง
อีกเมตตาการุณละมุนมอง
ในครรลองปิยะบุตร..มีจุดยืน

๒๔. มารดาใฝ่ธรรมะ..แห่งพระพุทธ
จิตพิสุทธิ์ปรากฎแต่สดชื่น
เยือกเย็นสง่างามเช่นยามคืน
อันฟ้าผืนอร่ามเย็นแสงเพ็ญจันทร์

๒๕. อีกคืนค่ำ..ตรองตรึกเฝ้าศึกษา
อ่านตำราอำรุงความมุ่งมั่น
เหตุผลยกโยงมาสารพัน
จดจารบันทึกไว้อยู่ในคืน

๒๖. จะผ่านพ้นมืดค่ำอยู่รำไร
กลับร้างไร้โอษฐ์อิ่มมายิ้มยื่น
เหมือนเหงาเงียบสาปซ้ำให้กล้ำกลืน
เพื่อตาตื่น..คอยรับใครกลับมา

๒๗. แล้ว-ราตรีรวยริน..กรุ่นกลิ่นล้อม
แต่เมื่อความรื่นหอม, ละม่อมหน้า
ได้ผ่าวผ่านกำจาย, สู่สายตา
ทอนเงียบเหงาเหว่ว้า..จากราตรี

๒๘. ยืนกอดอก..เอียงคอมองล้ออยู่
จนอีกผู้เหลียวเห็น..ใจเต้นถี่
ยืนแอบเสามืดมัว..แม่ตัวดี
เถิดวันนี้จะถามไถ่..เอาให้รู้

๒๙. เอนหลังพิงเก้าอี้..ตาหรี่เพ่ง
มองคนเก่ง..เคลื่อนร่างเยื้องย่างอยู่
ฤๅอัปสรพรากโพยมเป็นโฉมตรู
เที่ยวเล่นอยู่ให้ดินได้ยินดี

๓๐. รูปพักตร์นั้นเมียงเมิน..แล้วเดินหา
หยิบตำราหนังสือ..พ่อฤๅษี
เปิดผ่านผ่าน..พักตร์นวลทำยวนยี
คล้ายเต็มทีกับวิถีของชีวิต..!

๓๑. อ้อนี่..!..จิตวิทยา, ปรัชญาพุทธ
หมายวิมุติหรือสวรรค์..ท่านบัณฑิต
ฤๅจะเป็นฤาษี..ผู้มีฤทธิ์
เอื้อมเหนี่ยวดึงพรหมลิขิตเอาลิดรอน..!

๓๒. ย่อมอยากเป็น..วาสี -ผู้มีฤทธิ์
เหาะขึ้นชิดที่ประทับหมู่อัปสร
แล้วไล่โลมโฉมล้ำกลางอัมพร
พาสู่เรือนให้อ้อนตะบอนตะบึง..!

๓๓. คนอยากเหาะขึ้นฟ้า..ปาก-ตายิ้ม
จนอีกรูปโอษฐ์อิ่ม..คลายยิ้ม - บึ้ง
เหมือนแววเนตรคมปลาบอยากสาปตรึง
ด้วยหมั่นไส้ใครหนึ่ง...จนถึงทรวง

๓๔. เจ้าบ้านหันมองฟ้านอกหน้าต่าง
ยังพราวพร่างดาวเดือนไม่เลือนล่วง
อีกหน้าหนึ่งก้มเรียวเห็นเสี้ยวดวง
หยิบจับปวงหนังสือ-เปิด-ถือ-วาง

๓๕. เอื้อมกรคว้ากระดาษมาวาดเล่น
ขีดเขียนเส้นหยาบหยาบเป็นภาพร่าง
รูปฤๅษีวาดลงอยู่ตรงกลาง
มีนวลนางรอบล้อม..คอยน้อมนบ..!

๓๖. จวบสุรีย์เยี่ยมภพ..พระลบลับ
คนยืน-กลับหลังหัน..ก็พลันสบ
ความว่างเปล่าเปลี่ยวนั้น..ช่างครันครบ
เงียบสงบแฝงเร้นดั่งเช่นเคย

๓๗. บนโต๊ะมีกระดาษ..ใครวาด-เห็น
ช่างล้อเล่น..ดีแท้..แม่คุณเอ๋ย
แล้วก็มาหายวับจนลับเลย
ไม่แม้เอ่ยสักคำก่อนอำลา..


....ปฏิสัมพันธ์....

๓๘. บ้านเก่าแถบบางกระบือ..แม่ซื้อไว้
เงียบสงัดสมใจดังใฝ่หา
เหมาะสมช่วงคืนค่ำ..อ่านตำรา
และพักนอนผ่อนล้า..เวลาเช้า

๓๙. เอนกายลงเตียงนอน..หนุนหมอนนึก
มาตอนดึก..เดินพล่านในบ้านเก่า
พอใกล้สาง..หายเร้น..ไม่เห็นเงา
เถิดจะเย้ายั่วให้...เมื่อได้เจอ

๔๐. “ตาฤๅษี”...ผลอยหลับลงกับหมอน
หลังจากนอนใจคล้อยตาลอยเหม่อ
หลับ-นึกหอมอบร่ำ...ใจพร่ำเพ้อ
คล้ายว่าคนหลับเผลอ..ละเมอคำ

๔๑. ตื่นขึ้นกลับบ้านแม่ตั้งแต่บ่าย
ด้วยนัดหมายร่วมงานอาหารค่ำ
งานสังคมโก้หรู..เหล่าผู้นำ
จึงคลาคล่ำปวงดรุณละมุนละไม

๔๒. ในงาน-มากสาวคอย..ชม้อยเนตร
ฤๅรู้เจตจำนง...ยังสงสัย
เห็นหัวร่อต่อกระซิกระริกไป
มองทางไหน..ลดาวัลย์พร้อมกันบาน

๔๓. บ้าง-พูดคุยกระซิบทราบ..ห่วงภาพพจน์
บ้าง-เลี้ยวลดพรมพร่ำ..ถ้อยคำหวาน
บ้าง-อวดยศใหญ่โตศักดิ์โอฬาร
บ้าง-เบื่อหน่ายรำคาญ..เลี่ยงผ่านไป

๔๔. ยืนมุมห้องพูดคุยกับคุณป้า
สำรวมท่าทีรับ..ดี-ครับ-ใช่
ป้าคุยเรื่องการเมืองแล้วเคืองใจ
เลยอาศัยหลานชายระบายความ

๔๕. จนห้าทุ่มส่งแม่กลับถึงบ้าน
เจ้าที่-ท่าน..ลอบเพ่งเหมือนเกรงขาม
ผายมือให้มองพิศ..ผู้ติดตาม
ก็เห็นงามพักตร์นั่ง..อยู่หลังรถ..!

๔๖. มารดาล่วงพ้นผ่านเข้าบ้านแล้ว
เสียงเจื้อยแจ้วเจรจา..ก็ปรากฏ
ท่านฤๅษี..จรจรัลจากบรรพต
มาสวมบทเข้มคม-อารมณ์เย็น

๔๗. สาวในงานมองอยู่ไม่รู้หรือ ?
มัวทึ่มทื่ออยู่ไหนถึงไม่เห็น
มัวขลุกอยู่กับป้า..ทำหน้าเป็น
คง-ลำเค็ญใจอยู่..ต้องสู้ทน

๔๘. แล้วลุกจาก..เบาะหลังไปนั่งคู่
เจ้าที่-ผู้..เมียงมองก็ล่องหน
หลังสบเนตรชายวาบ...ก็ทราบกล
ว่าภพภูมิเบื้องบน..ปะปนมา

๔๙. รถเลี้ยวกลางวิกาล..มุ่งบ้านเก่า
เงียบเสียงเย้า..ครู่เดียวก็เหลียวหา
เห็นคนช่างพูดเล่น..เขม้นตา
กับบรรดาเงาร่างที่ข้างทาง

๕๐. รถผ่านถึง..ภาพหายกับสายลม
แว่วรันทมโหยหอบ..อยู่รอบข้าง
คล้ายเสียงล้อครูดกรีดคนหวีดคราง
ก่อนเสียงรถพลิกขวางเส้นทางจร

๕๑. เหมือนว่าเหตุพ้นผ่านไม่นานนัก
แขนขาหักขาดเห็นอยู่เป็นท่อน
ขื่นคาวเลือดโลมพลอด..ผู้มอดมรณ์
ให้พักผ่อนตราบนิรันดร์ในวันนี้...

๕๒. รถผ่านโค้งเบื้องหลัง..ก็ดังคาด
ร่างปีศาจคืนห้อมเข้าล้อมที่
โบกรถผ่านไปมา..กลางราตรี
ร่างเหล่านั้นริบหรี่...เห็นสีเดียว

๕๓. หอมราตรีกรุ่นกลิ่นรวยรินสู่
ให้คนรู้อยู่เคล้าความเปล่าเปลี่ยว
คืนนี้ฟ้าหม่นครัน..ท่ามจันทร์เรียว
และส่วนเสี้ยวใจคน...วกวนคิด

๕๔. ใกล้กาลต้องจำพรากไปจากที่
เรียนดุษฎีอีกขั้นของบัณฑิต
ครั้งนี้..จะมีใคร..มาใกล้ชิด
ให้เพ่งพิศ..เนตรคม..คารม-กวน..?

๕๕. ถึงห้องอ่านหนังสือ..ตาปรือ-ง่วง
ชั่วคิดห่วง-รูปใครกลับไม่หวน
ช่างหายตัวเร็วเหลือ..แม่เนื้อนวล
ตราบเจียนจวนตาหลับ..รูปกลับย้อน..!



.
.

มีต่อ
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มีนาคม 2014, 06:41:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #1 เมื่อ: 09 มีนาคม 2014, 06:41:AM »
ชุมชนชุมชน

....จ้าวถนน....


๕๖. คล้ายยินเอื้อนเพลงล้อมเข้ากล่อมโสต
ดาลปราโมทย์กุมกัก..ผู้-พักผ่อน
คล้ายเผยออกเงื่อนเงา..ความเง้างอน
ให้คนมัวแต่นอน - แอบซ่อนยิ้ม...

๕๗. พลัน.!..หมอนอิงใครคว้า..แล้วปาใส่
จนอกใครกำเริบ..ความเอิบอิ่ม
จนสุดแสร้งบังคับตาหลับพริ้ม
เมื่อรูปพิมพ์พักตร์ยั่ว..จนหัวเราะ

๕๘. มีเด็กซนรอท่าที่หน้าบ้าน
น่ารำคาญ..อยู่มาก..เด็กปากเปราะ
เห็นไม่ว่า..เออหนอ..ทำออเซาะ
กระโดดเกาะรถได้..อาศัยมา

๕๙. เที่ยววิ่งเล่นแปะโป้ง..อยู่โค้งนั่น
พอเห็นพลันทำเหนียม..พลอยเยี่ยมหน้า
คงสัมผัสถึงเจตอันเมตตา
ของท่านวาสีหนุ่ม..ว่าชุ่มเย็น

๖๐. อ้อ..ใครกันขับผ่านไม่ทันมอง
แต่เหล่าผองคร่ำครวญ..นั่นล้วนเห็น
ที่รวมภพภูมิต่ำ..เหล่าลำเค็ญ
หลังถูกเข่นชีพวาง..ถมทางรถ

๖๑. ดุ่มเดินผ่านลานหญ้าสู่หน้ารั้ว
ท่ามมืดมัวไม้ทะมื่น..ลมตื่นบท
เงาร่างสูงใหญ่ครัน...ดั่งบรรพต
ทำหัวหดแอบสลัว..เหมือนกลัวใคร

๖๒. บัดนั้นร่างย่อลงที่ตรงหน้า
เดินกลัวกลัวกล้ากล้าเข้ามาใกล้
ผมผูกจุกรวบเกล้า..ด้วยเยาว์วัย
เค้าหน้าดูแจ่มใส...ลูกใครกัน

๖๓. น้า..อยู่บ้านนี้เหรอ..เอ้อเหอ-ใหญ่
พี่คนสวยน่ะใคร..ดุไหมนั่น ?
เกาะแขนพูดเจรจาสารพัน
และจากนั้น..พี่คนงาม..ก็ตามมา

๖๔. แอบชายหนุ่มโดยไว..ทันใดนั้น
ดูหวั่นหวั่นเนตรคม...จนก้มหน้า
งันเงียบอยู่ก่อนค่อยค่อยชม้อยตา
มือวันทา...รูปเห็น..หวังเอ็นดู

๖๕. ไยเที่ยวเล่นซุกซน..แกล้งคนเขา
นั่น..พวกเหล่าลำเค็ญ..ก็เห็นอยู่
คอยบาปร้อน..หยุดรุม..บุญอุ้มชู
ก่อนผ่านสู่..บริบท..ต้องชดใช้

๖๖. เห็นพ่อเที่ยวหาอยู่..ไม่รู้หรือ
เห็นในมือ..หวาดเสียว-ไม้เรียวใหญ่
อาจกำลัง..เมียงมอง..ก้นของใคร
แล้วหวดให้..รู้ทราบ..เข็ดหลาบ-จำ

๖๗. ไม่ทันจบคำขู่..ก็รู้หลบ
วิ่งฝ่าพลบหน้าตื่นกลางคืนค่ำ
คนช่างขู่..ข่มยิ้ม..เอมอิ่ม-อำ
เอ็นดู-ขำ..คนเก่งวิ่งเร่งไป

๖๘. ก่อน-รถผ่านโค้งนั่น..เห็นทันอยู่
เด็กนี่วิ่งเสียงอู้..ตีคู่ใกล้
เอามือป่ายปัดผ่าน..ในทันใด
รถเลื่อนไหลหลุดโค้ง..คว่ำตรงนั้น

๖๙. ทายาทผู้ลงทัณฑ์..โลกันต์ล่าง
ผู้คอยวางบริบท..กำหนด-บั่น
ชีพบรรดาชั่วโฉด..ลงโทษทัณฑ์
ตราบรอบกัลป์กัปเวียน..ปลิดเปลี่ยนใจ


....คำมั่นสัญญา....


๗๐. ราตรีหอมกรุ่นอยู่ไม่รู้ผ่อน
ราวจักซ้อนแทรกบทเพิ่มสดใส
แทนจันทร์ภาส, วาวน้ำเนตรอำไพ
นั้นวาบไหวเต้นผกาย..ให้ชาย-มอง

๗๑. มองเหม่อท่าม..กลิ่นหอม, ละม่อมหน้า
คล้ายกับว่าจันทร์บน-ถึงหม่นหมอง
แววในตาพิมพ์ประทับ..รูปจับจอง
ประทับแรงหมายปอง..ลงห้องใจ

๗๒. อีกไม่กี่คืนค่ำ..จะบำราศ
จากพิลาสรูปนิมิต..เคยชิดใกล้
ห้วงอรรณพเวิ้งว้าง..เส้นทางไกล
จักช่วยให้ใจมั่น..ฤๅบั่นทอน ?

๗๓. คล้ายใครหนึ่งคร่ำครวญ-ในส่วนอก
โดยวิตก-เลือนลับรูปอัปสร
ต่อนี้ใครจักเฝ้า-ยั่วเย้า, งอน
ใครจะอ้อนเสียงให้..โสตใครยิน

๗๔. ล่องลอยจากฟ้าไกล..มาใกล้ชิด
เพื่อคนพิศ-รูปพักตร์..สุดหักถวิล
มาอยู่ล้อต่อคำ..ถ้อยร่ำริน
แตะตื่นจินตนาการ..สะท้านสะเทือน

๗๕. ฤๅเยื่อใยร่วมสร้างแต่ปางหลัง
ช่วยเหนี่ยวรั้งใจฉุด..พารุดเคลื่อน
ดั้นด้นผ่านห้วงหาว..แสงดาวเดือน
ลงมาเยือนหล้าต่ำ..ในค่ำคืน

๗๖. คงด้วยแรงผูกพันร่วมบรรสาร
พาอ่อนหวานซ่านระบัดเกินขัดขืน
รอเพียงโน้มเหนี่ยว-รั้ง..ให้ยั่งยืน
เพื่อทรวงหนึ่งรมย์รื่น..ใต้ผืนดาว

๗๗. โอษฐ์เคยยั่วเย้านั่น..กลับงัน-เงียบ
ใต้เย็นเยียบพลิ้วพรม-คลื่นลมหนาว
ฟากฟ้าพู้นงามระยับแสงวับวาว
เช่นครั้งคราวระยับเนตร..วามเลศนัย

๗๘. เอื้อมมือจับ..กรเรียว..เดินเกี่ยวก้อย
ก้าวย่างคล้อยค่อยผ่าน ณ กาฬสมัย
ราศีสรวงรูปปองเกรงหมองไป
อด-ออมเถิดหัวใจ..เพียงไว้ชม

๗๙. แตกต่างในระหว่างสถานภาพ
จากบุญบาปปางหลังเคยสั่งสม
พาหนึ่งสู่ทิพสถานพิมานพรหม
หนึ่งจ่อมจม..ต่ำหล้า-ตั้งตารอ

๘๐. เมื่อความสัตย์มุ่งประพฤติเฝ้ายึดถือ
จึงเช่นไฟโหมกระพือเป็นสื่อล่อ
คำอธิษฐานเร่งเสียงจนเพียงพอ
ความก็คลอโสตใครจนได้ยิน

๘๑. ไต่โค้งรุ้งล่วงมา..สู่หล้าต่ำ
สู่ครวญคร่ำ..รอคอยรูปรอยถวิล
สัมผัสด้วยดุษฎี..ธุลีดิน
ร่วมเหนี่ยวจินตนาการ-ประสานนัย

๘๒. อีกสามปีย้อนกลับ..หมายรับรู้
จักมีใคร..คอยอยู่..รอสู่-ไฉน ?
จักมีฤๅ..ผกายน้ำ..เนตรอำไพ
ทอดทอความห่วงใย..อยู่ในดวง

๘๓. เหมือนล่วงรู้ความคิด, อีกจิตหนึ่ง
ที่คำนึงรูปแถน..ด้วยแหนหวง
ดาลระลอกซาบซึ้ง..อีกหนึ่งทรวง
เกินอาจหน่วงเหนี่ยวภพ..เลี่ยงหลบพ้น

๘๔. จิตกระหวัดผูกพัน..ยิ่งมั่นคง
ราศีองค์รูปรอง..ยิ่งหมองหม่น
จักรอขึ้นบรรจบ..ที่ภพบน
เกรงจิตใครอีกคน...เฝ้าวนเวียน

๘๕. ห่วงแต่เมื่อ..คำนึงส่งถึงอยู่
จะเกินกู้กลับให้ห้วงใจเปลี่ยน
หวังให้ผ่านนัยธรรมที่ร่ำเรียน
ช่วยกร่อนเกรียนเกลศกลบ..ร่วมภพกัน

๘๖. ถึงเวลาคงรู้และดูเห็น
หากครุ่นเค้นอธิษฐานบรรสารฝัน
ยังส่งแรงเร้ารัว..มาพัวพัน
รูปแถนนั้น..จักกลับมารับรอง
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 มีนาคม 2014, 06:31:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #2 เมื่อ: 11 มีนาคม 2014, 06:31:AM »
ชุมชนชุมชน

๘๗. พิศหน้า..ตรงหน้าสายตาสบ
ก็ครันครบ-พิสมัยแห่งใจสอง
เนตรงามสื่อตอบรับ...การจับจอง
สุดปัดป้องแรงถวิลในวิญญาณ

๘๘. ท่ามบุหลันโรจน์ดวงปลายช่วงพลบ
สองภูมิภพจิตมั่นร่วมบรรสาร-
ผูกสายใยสัมพันธ์แห่งวันวาน
จนมั่นคงยืนนาน..เกินบั่นทอน

๘๙. ถึงกาลต้องจำพรากไปจากหน้า
อกใจกลับเหว่ว้าเกินกว่าซ่อน
อกแห่งรูปนิรมิต-สุดลิดรอน-
แรงอาวรณ์...ที่เร่งรัวมาชั่วกัลป์

๙๐. จะรอคอยในสถานพิมานแมน
ก็สุดแสน-อกใจ..ช่างไหวหวั่น
ไหวเวียนท่ามอโนดาตพิลาสพรรณ
จนสุดบั่นอาวรณ์..ให้รอนรา


....อัสดงคตประเทศ....
ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน

๙๑. ปีกเครื่องบินแผ่กางอยู่กลางหาว
เห็นเมฆขาวลอยเฟื่องอยู่เบื้องหน้า
เพ่งจับจ้องใจล่วง..ผ่านดวงตา
เป็นพัสตราขาวพลิ้ว..ออริ้วลม

๙๒. สะบัดโบกจนใจ..หนึ่งไหววุ่น
นึก..หอมกรุ่นแฝงเร้นในเส้นผม
เหินอยู่ใกล้ขอบฟ้า..ก็ปรารมภ์
จะตัดข่มคะนึงหา...เกินกว่าคิด

๙๓. คำนึงลอยล่องไปสู่ใครหนึ่ง
หวาม-ซาบซึ้งหนักหน่วงทั้งดวงจิต
รอเถิดรอ..ดวงใจ..รอใกล้ชิด
จะทวงสิทธิ์รูปสุรางค์ไว้ข้างกาย

๙๔. รูปเอย...รูปแถนในแดนสรวง
เกินหักห่วงอาวรณ์ให้ผ่อนหาย
ทิพลักษณ์จะยอมทอด..ลงวอดวาย
ก็แต่สายเยื่อใยแห่งใครนั้น

๙๖. จึงจำนงอุบัติภพ..คำรบใหม่
ด้วยแรงใจมุ่งมาด..ทั้งหวาดหวั่น-
เกรงพลัดร้างวงกัป..จนลับกัน
ยอมลดชั้น..ภูมิภพ..บรรจบรอย

๙๗. ร่างหนึ่งร่าง..เหินฝ่าเวหาห้วง
และรูปแถนหนึ่งดวง..ยอมร่วงผลอย
อุบัติท่ามประจิมทิศ..นิมิตคอย
เริ่มร่างน้อยลอยล่อง..ครรลองวัฏฏ์

๙๘. เนตรเขียวผ่องผกายเช่นฝ่ายพ่อ
งามลออเนียนนวลทุกส่วนสัด
อยู่แดนดินถิ่นหนาว..ลมผ่าวพัด
ฟากฝั่งอัสดงคต...กำหนดรู้

๙๙. ส่วนเทือกเถาเชื้อสายทางฝ่ายแม่
ก็ล้วนแต่ไกลห่างเกินย่างสู่
จากดินแดนยิ้มระรื่น..คนชื่นชู
หนึ่งในบูรพาแคว้น..ดินแดนไท

๑๐๐. บิดาเชี่ยวชาญลึกการศึกษา
เรียกศาสตราจารย์ผู้..รอบรู้ได้
ลูกศิษย์จากทั่วแดน..ทั้งแคว้นไกล
และเมืองใกล้..ใฝ่เฝ้ามาเล่าเรียน

๑๐๑. เข้าปีหนึ่ง..ใครหนึ่งคำนึงหนัก
แปลกใหม่อักขราผ่านให้อ่าน-เขียน
คนหนึ่งยอมลำบากคอยพากเพียร
คร่ำเคร่งเวียนวนตรองทำนองนัย

๑๐๑. ขวบปีหนึ่ง...ร่างน้อยค่อยค่อยย่าง
ตากลมโต, นวลปรางกระจ่างใส
ละก้าวยกย่างล่วง..ความห่วงใย-
ก็ขับไขเต็มตา..มารดานั้น

๑๐๑. ขึ้นปีสอง..งานวิจัย-เขาให้สิทธิ์
ให้เลือกคิด -หลายหลาก…ต้องบากบั่น-
แยกหมวดหมู่คอยวิเคราะห์ให้เหมาะกัน
โยงใยความสัมพันธ์...ให้ครันครบ

๑๐๒. ขวบปีสอง...ร่างน้อยเริ่มลอยหน้า-
จำนรรจา..แจ้วอยู่ไม่รู้จบ
ยามยิ้มราว-แจ้งล่วงทั้งห้วงพลบ
จะเกลี่ยกลบ..เพลิดเพลินก็เกินคิด

๑๐๓. ร่ำเรียนขั้นดุษฎี..ถึงปีสาม
สำเร็จตามฝันปวงในห้วงจิต
งามเอยหลายหลากวัย..เคยใกล้ชิด
มาจะบิดเบือนร้างไปห่างกัน

๑๐๔. ผมทองตาฟ้าห้อม..อยู่พร้อมหน้า
เพื่อนเพื่อนนักศึกษา..ผู้ก๋ากั่น
ขาวผุดผ่องแต่ล้วน..ผิวนวลพรรณ
รูปหน้านั้นก็สะคราญละลานนัยน์

๑๐๕. สูงเพรียวล้วนแบบบาง..ยามย่างก้าว
ก็เหยียดยาวทอดระยะ..จังหวะไหว
หมากฝรั่งเคี้ยวหยับหยับ...เดินฉับไว-
ผ่านผองเพื่อนปราศรัย..ยักไหล่ล้อ

๑๐๖. จบแล้วช่วยสถาบันการศึกษา
สายวิชาการพร้อมจะหลอมหล่อ-
คนหนุ่มสาว..และเหมือนมีใจรีรอ-
อยู่ต่อล้อ..รูปนิมิตในจิตตน

๑๐๗. แวะเยียมบ้านอาจารย์และภรรยา
"ใคร"...ก็มาเหนี่ยวรั้ง-ทุกครั้งหน
ด้วยมือน้อยแก้มอิ่ม..รอยยิ้มซน
ให้อีกคนอุ้มหอม-แก้มหอม"ใคร"

๑๐๘. ลูกสาวตัวน้อยน้อยของอาจารย์
เดินทั่วบ้านปากแก้ม-ยิ้มแจ่มใส
มาคอยแอบเมียงมองเหมือนข้องใจ
กับรูปลักษณ์คนไทย...ผู้ใจดี


....คิดถึงบ้าน....


๑๐๙. จนคิดถึงพ่อแม่ที่แก่เฒ่า
จะคอยเฝ้ารอรับ...คืนกลับที่
มาเล่าเรียน, ทำงาน..เนิ่นนานปี
กลับ-ให้สองบุพการีได้ปรีดา

๑๑๐. เก้าขวบปีผ่านไป..เร็วไวนัก
"ใคร"...หนึ่งจักยังคอยละห้อยหา
หรือจำพรากเลือนลับไม่กลับมา
ปรารถนาสบพักตร์อีกสักครั้ง

๑๑๑. เด็ก..ตัวน้อยเติบใหญ่สู่วัยรุ่น
ละม่อมละมุนสะท้อน-แม่สอน, สั่ง
เนตรเขียวนั้นลึกล้ำ..เป็นกำลัง
สงบเงียบขรึมขลัง...เกินหยั่งรู้

๑๑๒. เห็นพูดคุยถูกคอกับมารดา
ในทุกครั้งย้อนมาแวะหา-สู่
รอยยิ้ม-คำหยอกเล่น..แฝงเอ็นดู
ก็ตราอยู่..กลางใจของ"ใคร"นี้

๑๑๓. แว่วยินเสียงตอบรับ..ต้องกลับบ้าน-
เป็นอาจารย์..ปักหลักอยู่สักที่
เชื้อเชิญไว้ล่วงหน้า...ด้วยท่าที-
เต็มเปี่ยมความยินดี..ให้ไปเยือน

๑๑๔. หิมะหนาวปลิวผ่านถมลานหญ้า
เมื่อร่างนั้นเดินมา...ปากตาเปื้อน-
รอยยิ้มแย้มแจ่มใส...จนใครเบือน-
สีหน้าเจื่อนรับคำ...กล่าวอำลา

๑๑๕. ไม่รู้หรอกถ้อยคำ...ที่ย้ำสู่
กระทบโสตแว่วอยู่, แต่รู้ว่า-
ต่อแต่นี้หนึ่งใคร-จะไกลตา
ไม่แวะมาหยอกเล่น...ให้เห็นแล้ว



....กรุงรัตนโกสินทร์....

๑๑๖. เข้มครามหมู่เมฆขาวใต้ราวฟ้า
สกุณาส่งเสียงอยู่เพียงแผ่ว
ลำตะวันสาดสรวงทุกช่วงแนว
ส่งพราวแพรวโลมอาบทุกบาปบุญ

๑๑๗. เพียงครั้งคราวห้วงฝันชีวันหนึ่ง
ความตราตรึงบรรจบแสนอบอุ่น
กระแสธารเสน่หาได้การุญ
เอื้อละมุนละไมหวาน...วาบผ่านใจ

๑๑๘. จึงครั้งนั้นไพจิตรนิมิตช่วง
โลกทั้งปวงปรากฏความสดใส
ถ้วนรสหวานกลิ่นหอมพะยอมใด
เหมือนหลั่งให้อบร่ำทุกค่ำคืน

๑๑๙. บางกระบือ-บ้านเก่า..แสนเหงาเงียบ
อกก็เยียบเย็นอยู่..สุดรู้ขืน
เผยภาพผ่านตอกย้ำให้กล้ำกลืน
ใจก็ตื่นรอรับการกลับมา

๑๒๐. ปานฉะนี้ดวงสุดาอยู่ฟ้าไหน
จะรู้ไหมใครคอยละห้อยหา
ถวิลรอโอษฐ์นั้นจำนรรจา
รอสบตาผ่องผกาย..เมื่อชายค้อน

๑๒๑. งามเอยเนตรระยับ..ยังวับอยู่
ให้ปรารมภ์ด้วยตรู..สุดรู้ผ่อน
ขณะ..แววเขียวขาบกลับวาบ-วอน
ลงทับซ้อนสอดแทรก..ให้แปลกใจ

๑๒๒. คลับคล้ายจะผ่านเผย...ให้เคยเห็น
และคล้ายเร้นลอบระยะ..จังหวะไหว
นึกหลากหลายเนตรตรู...เคยรู้นัย
แต่กลับไม่เฉลียวนึก..แวว-ลึกล้ำ

๑๒๓. ไร้สิ้นร่องรอย..ที่คอยเฝ้า
รอรูปเงา..ย้อนมาสู่หล้าต่ำ
เนิ่นนานที่กาลล่วง...และช่วงกรรม-
เคลื่อนรอบนำโน้มภพบรรจบรอย

๑๒๔. ลมลูบตัวอ่อนพลิ้ว..โลมริ้วแก้ว
อ่อนเอนไหวเจ้าแล้ว..เพียงแผ่วค่อย
น้ำค้างหยาดหยดรอ, ผู้รอคอย-
คล้ายอารมณ์เงียบหงอย..ด้วยน้อยใจ

๑๒๕. สะท้านขั้วหัวใจ..อยู่ในรุ่ง
แต่หมายมุ่งคืนวัน..เคยหวั่นไหว
สะท้อนนั้นร้อยบ่วง..ความห่วงใย
ผูกสองใจไว้มั่น..เป็นพันธนา

๑๒๖. ระเหยห่างหายไปน้ำใสหยาด
บริสุทธิ์และสะอาดก็ปราศค่า
แต่ผกายเนตรหวาน..ไหวผ่านตา
รับรู้ว่า..เกินคิดจักปลิดปลง

๑๒๗. เป็นอาจารย์คนใหม่..ด้วยวัยหนุ่ม
ก็ร้อนรุ่มหลักการออกบาน-บ่ง
มีจุดยืนหยัดยัน..อย่างมั่นคง
มีจำนงหยัดย้ำชี้..นำทาง

๑๒๘. ลูกศิษย์สาวสาวพลอยชม้อยชม้าย
ตาคอยชายชำเลือง..ทุกเยื้องย่าง
เอ็นดูก็แต่นัย..น้ำใจนาง
แต่ขวากขวางในอก..สุดยกย้าย

๑๒๙. เจ็ดขวบปีผ่านล่วงอีกช่วงคาบ
ก็รับทราบรูปปอง..ว่าล่องหาย-
ร้างไร้รูปนิรมิต..เคยชิดกาย
เลือนล่วงสายใยลับ..ไม่กลับย้อน

.
.

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 มีนาคม 2014, 06:26:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #3 เมื่อ: 12 มีนาคม 2014, 06:26:AM »
ชุมชนชุมชน

....กรุงสตอร์คโฮม....
ราชอาณาจักรสวีเดน

๑๓๐. วัยสิบเจ็ดสาวสะพรั่งกำลังแย้ม
วงพักตร์แกมแววระยับ..เนตรอัปสร
เขียวขาบผกายนัยน์..คล้ายไฟฟอน
ที่สุมซ่อน..สำนึกอันลึกล้ำ

๑๓๑. ประหนึ่งสร้อยสุวคนธ์โกมลมาศ
พวงพิลาสย้อยระย้า..เพื่อหล้าต่ำ-
รับหวานหอมน้อมแนบ..คอยแอบอำ
คอยเสพซ้ำรสประทิ่น...ที่รินรวย

๑๓๒. และประดุจพวงผกากลางป่าหนาว
ออกดอกขาวโพลนถิ่น..หอมกลิ่น-สวย
ทอตะวันสาดซ้ำก็อำนวย-
กำลังช่วยแต่งพิจิตรให้พิศชม

๑๓๓. เติบเต็มรูปงดงาม..แห่งยามแรก
และเหมือนแทรกรหัสฤทธิ์เกินปลิด-ข่ม
ถ้วนรูปชายบรรดา..ไร้ปรารมภ์-
จะบาลบ่มจิตปลูก..ความผูกพัน

๑๓๔. มองไปบนท้องฟ้า..เหมือนฟ้าเศร้า
ร้างรูปเงาอำไพ..ที่ใฝ่ฝัน
คืนนี้ฟ้ามืดมิด..ไม่ผิดกัน
กับทรวงหนึ่งมืดครัน..จากหวั่นคอย

๑๓๕. มองที่ขอบฟ้าไกล..จิตไหลล่อง
ที่หล่นฟ่องฟ้าแล้ว..คงแผ่วค่อย
เกล็ดขาวคงคว้างปลิว..เป็นริ้วปอย
เคว้งคว้างเอยใจละห้อย…ดั่งปอยนั้น

๑๓๖. คล้ายสัญญาเบื้องก่อน..คอยย้อนหา
เป็นรูปรอยปริศนา..ที่พร่าสั่น
วูบไหวภาพเผยผ่านจากวานวัน
ประโลมขวัญแอบออ..ให้รอคอย

๑๓๗. คอยจะพบเจอกันในวันหน้า-
ที่น้ำ, ฟ้า-คลอเคล้าความเศร้าสร้อย
ผืนแผ่นมหาอุทก..จะยกลอย
และจุลชีพตัวน้อยจะผล็อย...จม

๑๓๘. เมื่อลมร่ำ-ค่ำหนาว..จึงหนาวยิ่ง
พร้อมใจหญิงตื่นอยู่...สุดรู้ข่ม
ด้วยแรงฤทธิ์ปริศนา, รอบปรารมภ์-
ผูกเงื่อนปมในจิต..เกินคิดคลาย

๑๓๙. ให้สงสัยฉงนอยู่แต่ผู้เดียว
ท่ามมืดค่ำเปล่าเปลี่ยว, ส่วนเสี้ยวสาย-
ใยหนึ่งเฝ้าลอบเร้นไม่เว้น, วาย
จนสุดถ่ายสุดถอน...อาวรณ์นี้

๑๔๐. ท่ามสังคมรอบทิศ..กลับผิดแปลก
และความแตกต่างเริ่ม-จะเพิ่มถี่
ในกริยาทั้งปวง...ในท่วงที
แช่มช้อยงดงามมี..ในลีลา

๑๔๑. คล้ายร่องรอยเงาร่าง..แต่ปางก่อน
คอยสุมซ้อนเพิ่มแรง..แสวงหา
และคล้ายครั้งเยาว์วัย...ผู้ไกลตา-
ประทับรอยตรึงตรา..ความอารี

๑๔๒. นานแล้วที่...หายลับไม่กลับย้อน
พาใจหนึ่งทอดถอนสะท้อนถี่
นานแล้ว...ไม่เห็นหน้าและวาที
จะอยู่ดี..หรือไฉน..คนไกลตา

๑๔๓. จนแว่วเสียงหัวร่อ...ของพ่อแม่
จึงเยี่ยมหน้าไปชะแง้..ชะเง้อหา
คล้ายคล้ายคนจากกัน..แลกพรรณนา
ถ้อยเหมือนว่ายามเอ่ย...คล้ายเคยยิน

๑๔๔. คงผองเพื่อนพ่อแม่..ที่แวะมา
วางแผนลาเที่ยวไป..ที่ไกลถิ่น
ที่ที่ฟ้าครามใส..น้ำไหลริน
ตอบโจทย์จินตนาการ..แห่งวานวัน

๑๔๕. จะผ่านห้องมุ่งหน้าไปหาเพื่อน
ใครก็เบือนมามอง...จนต้องหัน-
หน้า, หยุดสบตา..จ้องตากัน
คือคนนั้น...คนไทยผู้ไกลตา...

๑๔๖. ธรรมเนียมไทยรู้แค่-ที่แม่สอน
กระพุ่มกรน้อมคอ..ลงต่อหน้า
นึก..รูปลักษณ์ยังเช่นที่เป็นมา
ยิ้มอ่อนโยนหนักหนา...กอปรท่าที

๑๔๗. ดูเถิด..เมื่อวันก่อนยังอ้อนแม่
คอยชะแง้ตัวเบี่ยงหลบเลี่ยงหนี
มาเติบเต็มงามสง่ารูปนารี
ให้คนที่นึกถึง...ตะลึงมอง

๑๔๘. ก่อนค่อยค่อยเลี่ยงผ่านมาบ้านเพื่อน
รูปเอยรูปกลับเหมือนยากเลือนล่อง
กระทันหันเกินปรับใจรับรอง-
การจับจ้องมองเห็นแสน..เอ็นดู

๑๔๙. แว่วพ่อถามวาระการประชุม
เสียงเนิบนุ่มใครหนึ่งก็ถึงหู
เส้นทางรถพอดีผ่าน..ใกล้บ้านครู
คิดถึงอยู่..จึงตระเตรียมมาเยี่ยมเยือน

๑๕๐. ยังไม่แก่สักนิด..ยามพิศเพ่ง
หน้ายังเปล่งราศียากมีเหมือน
แววอ่อนโยนในตา...เกินกว่าเลือน
ยังตามเตือนต่อให้..ห้วงใจจำ

๑๕๑. เสียงแม่ถาม..ตอบล้อ..ยังคลอโสต
ว่ายังโสดสดพอ..หัวร่อขำ
เสียงห่างหาย..ตามเท้าที่ก้าวนำ
กลับหยั่งย้ำใจคนให้วนคิด

๑๕๒. ที่สงสัยไม่วายก็คลายสิ้น
ที่เคยจินตนาแท้..ล้วนแต่ผิด
เถิด-ใช่ว่าอยากรู้นัก-แม้สักนิด
มันก็สิทธิ์ของใคร..ของคนนั้น

๑๕๓. อยู่บ้านเพื่อนเนิ่นนาน..จวบกาลคล้อย
หากเรื่องร้อยสารพัด...เกินตัด-บั่น
พูดคุยร่วมร้องเพลง..ครื้นเครงกัน
ล้วนภาพฝัน..ลอยล่องราวต้องมนต์

๑๕๔. กลับถึงบ้านมารดาเหลียวมาเห็น
ก็สุดเร้นปรากฎ...เลี่ยงบทบ่น
เสียงฝีเท้ายินดังทุกครั้งบน-
แผ่นพื้นทุกคราวหน..ให้คนยิน

๑๕๕. ปิดเทอมแม่จะกลับไปเมืองไทย
เยี่ยมยาย, ญาติผู้ใหญ่เสียให้สิ้น
มาอยู่ไกลเหลือแสนจากแผ่นดิน-
บ้านเกิด-ถิ่นเมืองนอน..จักย้อนเยือน

๑๕๖. รื่นรมย์เหลือกระไรจะได้เที่ยว
และส่วนเสี้ยวหัวใจ..กระไรเหมือน-
สุขลอบเร้นลุกลาม..คอยตามเตือน
เกินบิดเบือนระยับช่วงสองดวงดาว

๑๕๗. ระยิบเอยแววตา..ใต้ฟ้าต่ำ
ผ่องผกายร่ายรำในค่ำหนาว
ระบัดเรื้องเบื้องหลังแต่ครั้งคราว-
เมื่อใจสาวเริ่มละห้อย..คล้ายคอยใคร

๑๕๘. ไต่ขอบฟ้าโค้งรุ้งมาปรุงเปลื้อง-
ความเรื่อเรื้องสำหรับขึ้นขับไข
ทอดทอส่องแรงสว่าง ณ ข้างใน-
แห่งห้วงของหัวใจ...ของใครนั้น

๑๕๘. ราวแผ่นพื้นธารอุทก..ลมวกไหว
ย่อมกระเพื่อมเลื่อมไหล-วงไหวสั่น
แรงคำนึงวนว่ายก็คล้ายกัน
จะวาบหวั่น..ความนัยขึ้นไหววน

๑๕๙. ระบัดงามท่ามฟ้า..ในคราค่ำ
เหมือนจะคอยตอกย้ำซ้ำซ้ำหน
ว่างามหนึ่งลามล่วงถึงดวงมน
อุบัติตนแต่เมื่อไร..ก็ไม่รู้

๑๖๐. คืนร่องรอยงดงาม..แห่งความฝัน
ครั้งสัมพันธ์วัยอ่อนให้ย้อนสู่
ครั้งนั้นล้วนแต่เป็น..ความเอ็นดู
หากครั้งนี้แปลกอยู่...ยากรู้แล้ว

๑๖๑. จะรู้ไหม..ใครหนึ่งคะนึงหา
แต่สบตาใจเจ้า..ถอน..เบาแผ่ว
เกรงนักเนตรผกายจะฉายแวว-
ปอกใจแก้วแจ่มจ้า..สู่ตาคน

๑๖๒. ค่ำนี้..หิมะขาว..ฟ่องราวฟ้า
ฤๅ..ฝั่งโลกไกลตาต้องห่าฝน
ค่ำนี้..ใจหนึ่งคำนึง..วน
ฤๅ..ผู้อยู่ไกลพ้น..จะดลใจ

๑๖๓. หนาวหิมะ..ห่มกาย..อาจถ่ายถอน
แต่ซาบซึ้งอาวรณ์สุดถอนไหว
อบอุ่นละมุนแสนจากแดนไกล
ฤๅอาจใช้ป้องสาว..จากหนาวนี้


....คำนึงแห่งชายชาญ....

๑๖๔. เพียงชั่วระยะคาบสบภาพนั้น..
คล้ายใจสั่นลอบเร้น..แล้วเต้นถี่
ถ้วน-แววเนตร, กิริยา, ทั้งท่าที
คล้ายรูปที่งามละมุน..เคยคุ้นตา

๑๖๕. ไม่เคยนึกเคยฝันจะพลันพบ
ร่วมบรรจบรูปรอย..ผู้คอยหา
สุดคาดคิดรูปนิมิตในนิทรา
จักย่ำช่วงมรคา..ผ่านมาเจอ

๑๖๖. จากรูปเงาในฝัน..แห่งวันก่อน
มาแทรกซ้อนห้วงใจ..ทุกไพล่เผลอ
แต่งรื่นรมย์ลึกล้ำเข้าบำเรอ
เร้าทุกช่วงคิดเหม่อ..ให้เพ้อครวญ

๑๖๗. คล้ายพิศรูป..พักตร์แก้มแล้วแจ่มจ้า-
แก่ใจว่า..ทิพลักษณ์เจ้าจักหวน-
กลับลงมา..ร่วมภพบรรจบจวน
ผ่านรูปนวล..ให้ถวิลได้ดิ้นรน

๑๖๘. ดวงใจเอย..ชั่วข้ามไปตามรับ
คือสิ้นช่วงลำดับใจสับสน
ลบเลือนช่วงหวั่นไหวของใจคน
พร้อมไหววนเยือนย้ำรอบคำนึง

๑๖๙. สุดขอบฟ้าดินแดนแห่งแคว้นไกล
ฝากลมหอบอาลัย..ส่งไปถึง
ร่วมพิรุณหยาดย้ำ..ถ้อยรำพึง
อันใจหนึ่งละห้อยเห็นยากเว้นวาย

๑๗๐. เริ่มเถิดหรือ..พิรุณพิลาปร่ำ
ให้ม่านแพรผืนน้ำครวญคร่ำสาย
แทนอกใครครวญคร่ำบอกรำบาย
ความมุ่งหมายฝันใฝ่..แห่งใจตน

๑๗๑. เสน่หาประหนึ่งฝนจะหล่นไหล
เข้าท่วมใจเติบเต็ม..อย่างเข้มข้น
จะแทรกซึมทุกช่วงของดวงมน
สุดเลี่ยงพ้นหลบได้..นะใจเอย

๑๗๒. กระซิบผ่านสุจริต..ในจิตหนึ่ง
รอซาบซึ้งใครนั้น..รำพันเผย
แสงวิชชุช่วงตระการ..รอผ่านเลย
เช่นช่วงความนัยเอ่ย..รอเชยชม

๑๗๓. ไม่เคยนึกเคยฝัน, กลับบรรจบ
ชะลอรูปผ่านภพ..บรรสบ-สม
ให้ใจหนึ่งแห่ห้อม..คอยจ่อมจม
มุ่งปรารมภ์ถวิลอยู่...ไม่รู้วัน...

๑๗๒. หากไกลห่างในระหว่างสถานภาพ
จึงทำใจรับทราบ-เพียงภาพฝัน
มาคำนึงหวั่นไหว...อยู่ไยกัน
ด้วยกีดกั้น...จากวัย...ยิ่งใหญ่นัก

๑๗๓. ฉงนใจไฉนอยู่...ความรู้สึก-
แสนอ่อนหวานตราผนึก...ล้ำลึกหนัก
มารู้สึกเฉกเช่น...ผู้เร้นพักตร์
ซ้ำซ้อนรูปทิพลักษณ์...จำหลักรอย

๑๗๔. เพียงสบเนตรเขียวขาบก็วาบหวิว
สัญญาก็ปลิดปลิว...ล่องลิ่วถอย
สู่ภาพหนึ่ง..นวลลออ..ผู้รอคอย-
เป็นภาพเจ้าชดช้อยชม้อยตา..

๑๗๕. บัดนี้ห่าง..เห็นกาย..คงหายลับ
เลือนไปกับอบอุ่นและคุณค่า
หากอีกหนึ่งความหมายก็คล้ายมา-
เติบตนจนแกร่งกล้า...ให้อาวรณ์

.
.
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
13 มีนาคม 2014, 07:30:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #4 เมื่อ: 13 มีนาคม 2014, 07:30:PM »
ชุมชนชุมชน

....ป่วย....
....๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗....


๑๗๖. ตากลมหนาวยาวนานจนกาลคล้อย
ผู้เหม่อลอย..ผลอยหลับลงกับหมอน
หวัง..หลับท่ามอุ่นอ้อม..ใครกล่อมนอน
หมายยินคำแว่ววอนออดอ้อนนั้น

๑๗๗. จึงค่ำนี้..ดื่มด่ำกว่าค่ำไหน
ด้วยวาบหวามหัวใจ...ด้วยไหวหวั่น
ลมเย็นต้องผิวเนื้อ..จนเหลือกัน
ก็ซมไข้ใกล้วันจะเดินทาง

๑๗๘. ให้ครอบครัวคุณอา, เพื่อนขาจร-
ล่วงหน้าก่อน, จะตามไปเมื่อไข้สร่าง
สาวน้อยเมื่อหนาวสั่นทั้งสรรพางค์
ก็สุดที่จะก้าวย่าง...ทิศทางใด

๑๗๙. ด้วยพิษไข้นอนซม...อารมณ์เหงา
หลับซึมเซาจมฝัน..พร่า-สั่นไหว
ห้วงฝันพาเสพทราบ..ด้วยภาพใคร
ที่เคียงใกล้คู่คราญตระการลักษณ์

๑๘๐. กรกุมเกี่ยวก้อยกัน..ท่ามงันเงียบ
ลมเย็นเยียบ, เร้ารุมเข้ากุมกัก
ราตรีอวลกลิ่นพร้อม, ละม่อมพักตร์-
ของใครที่ชะลอศักดิ์..ให้กักกุม

๑๘๑. ในฝัน..รูปแฝงเร้น..ไม่เห็นหน้า
ท่ามกลางราตรีพะนอ..มืดห่อหุ้ม
จนแรมจันทร์หันเรียว..เบี่ยงเสี้ยวมุม
ท่ามแสงนุ่มเย็นนั้น...ก็พลันพิศ..

๑๘๒. วาบหวิวหวั่นไหว..อกใจสาว
คล้ายเหน็บหนาว..เลือนล่วงจากดวงจิต
รูปเอยลักษณ์พิไล...ผู้ใกล้ชิด
เต็มโสภิตละเมียดละมุน...กลับคุ้นเคย

๑๘๓. รูปนั้น-อย่างช้าช้า..เบือนหน้าวก
เช่นรูปตนในกระจก..ค่อยผกเผย
ใจสะท้านเย็นเยียบ..สุดเปรียบเปรย
สุดเอื้อนเอ่ย..ไยเห็น..ดังเช่นนี้

๑๘๔. และอีกใครหนึ่งนั้น..เมื่อหันเห็น
ใจเอย..อย่างลอบเร้น..กลับเต้นถี่
แววอ่อนโยนในตา..กอปรท่าที
เกรงหลีกลี้หลบเร้น..แล้วเข็ญใจ

๑๘๕. แม้น..ต่างวัยใจเอยไม่เคยคิด
กลับต้องฤทธิ์อาวรณ์..จนอ่อนไหว
จึงแม้นจมฝันนาน..สักปานใด
ยังยอมใจกรำถวิล..ด้วยยินยอม

๑๘๖. ฟากฝัน..จันทร์อับแรงขับไข
คนป่วยใจอ่อนละมุน..ท่ามอุ่นอ้อม-
แห่งห้วงฝัน..รติรส..เกินอดออม
กับอ่อนหวานกรุ่นหอม...รอบล้อมใจ

๑๘๗. ผืนแผ่นน้ำลมพลิ้ว..เป็นริ้วเหลื่อม
ก่อนกระเพื่อมวงน้อย..ค่อยค่อยไหว
แต่อ่อนหวานรุมประชิดในจิตใคร
ค่อยค่อยปัดเป่าไข้...จากใครนั้น

๑๘๘. ไหววูบเงื่อนความหมายกำจายออก
คล้ายบ่งบอก..ความนัย..ความไหวสั่น
แห่งอารมณ์..สมยอมจะพร้อมปัน-
ความอบอุ่น, กีดกันทุกหวั่นเกรง

๑๘๙. เช้านี้จึงแม้นหนาว..ยังหนาวอยู่
หากเนตรคู่งามพิศ..เมื่อจิตเพ่ง
แววนั้นราว..เร้ารัวแก่ตัวเอง
ว่าจะเปล่งความสู่..ให้รู้นัย

๑๙๐. คล้ายว่าความแจ่มแจ้ง..ทั้งแหล่งหล้า
ถ้วนถิ่นฟ้าสำทับแรงขับไข
คล้ายความห่วงเปี่ยมล้น..จากคนไกล
จะรอให้มุ่งมั่นสัมพันธ์พร้อม


....มหาวิบัติแห่งอันดามัน....
....เช้าตรู่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗....

๑๙๑. เงียบงาม ณ ยามแสงขึ้นแต่งฟ้า
เริ่มบุปผามอมถิ่นด้วยกลิ่นหอม
ตรู่เช้านั้น..ภุมรินก็บินดอม-
เข้าออ-ห้อมตฤปหวานสำราญรส

๑๙๒. เมื่อเครื่องบินโผผ่านสู่ม่านเมฆ
ใจหนึ่งเฉกเช่นภู่ที่รู้บท
อารมณ์บางส่วนเสี้ยวแสนเลี้ยวลด
เข้าจ่อจดถึงใคร..ผู้ไกลตา

๑๙๓. เอื่อยอ่อยลมทะเล..คล้ายเห่กล่อม-
จะหลั่งหลอมมุ่งมาดใน..ปรารถนา
จนแผ่นน้ำกระเพื่อมพลิ้ว..เป็นริ้วมา
ก็รู้ว่าคือปฐม..แห่ง-ลมวก

๑๙๔. เมฆขาวลอยเคว้งคว้าง, ฟ้ากว้างใหญ่
แลลิบไกลสวยสะ..ผ่านกระจก
และเนตรหนึ่งในวาระ..หวั่นสะทก
สุดจะปกป้องใจ..จากใครแล้ว

๑๙๕. จากแผ่นผืนเรียบกว้าง..อยู่ข้างหน้า
ลมโชยช้าโยนเสียง..แต่เพียงแผ่ว
และบัดนั้นคลื่นอุทก..ก็ยกแนว
ขึ้นโถมแถวฟองขาว...เห็นวาววับ

๑๙๖. คึกคึกระทึกเสียง..อยู่เพียงโสต
หากอุโฆษข่มหวัง..จนพังดับ
คลื่นน้ำโหม, แดดทอ..ลออรับ
ค่อยค่อยทับชีพถม..ลงหล่มน้ำ

๑๙๗. ทอดคะนึง..ท่ามอบอุ่นละมุนละม่อม
เนตรพริ้ม, จ่อมใจละลานด้วยหวานฉ่ำ
ครั้งคราวที่แย้มอร..เกิดซ้อนซ้ำ
ก็ทุกครั้งดื่มด่ำ...วาบซ้ำซ้อน

๑๙๘. ค่อยค่อยโถมแรงถั่ง..เข้าหลั่งไหล
เป็นแท่งน้ำสูงใหญ่..แล้วไพล่ผ่อน-
ลดระดับโซมซาบ..เหลือคราบนอน-
ของศพที่ม้วยมรณ์..บนขอนทราย

๑๙๙. จึง..บทเพลงทุกข์โศก..แห่งโลกต่ำ
ค่อยค่อยย้ำอาดูร..กลางสูญสลาย
เปล่งโศลกบทนิยาม..แห่งความตาย
ออกรำบายผ่านคลื่น..ครึกครื้นขบวน

๒๐๐. แท้เพียงทรายเม็ดน้อยที่ด้อยค่า
ต้องคลื่นถาโถมกระหน่ำ..ก็กำสรวล
ปลายสำนึกในน้ำ...ฤๅ-คร่ำครวญ-
ยอมรับความแปรปรวน..ทบทวนคิด

๒๐๑. แท้อ่อนแอ, แพ้-พ่าย..ง่ายดายนัก
เพียงน้ำกักจมลิ่ว..ชีพปลิวปลิด
ไร้กำลังวังชาจักฝ่าฤทธิ์
ช่วยชีวิตตัวตนให้พ้นภัย

๒๐๒. แท้มิได้ยิ่งใหญ่อย่างใจนึก
แค่น้ำลึก..คลื่นข่ม..ถึงล่มขัย
สายวารินไหลลามบอกความนัย
แม้นอาลัย..ยังต้อง..จำล่องลา

๒๐๓. แท้มิได้ยิ่งใหญ่เท่าไรหรอก
เพียงเศษเสี้ยวคลื่นระลอกก็ปอกค่า
ศพน้อยน้อยถึงวิบัติน้ำพัดพา
จำทอดถอนทรมา..ลอยบ่าไป

๒๐๔. แท้จริงแล้ว..ดับสิ้นในสินธู
รองร่างอยู่สมควร..อย่าหวนไห้
ด้วยก่อเกิดกายหยั่ง..กระทั่งใจ
หรือมิใช่ในน้ำอันคร่ำคา

๒๐๕. แท้จริงแล้ว..เพียงทัณฑ์ที่ผันเปลี่ยน
เคลื่อนคล้อยเวียนสุริยัน-ดาว-จันทร์-หล้า
เพื่อสังสารธารทุกข์ได้รุกมา
โลมทุกหน้าแนบเนื้อ...เป็นเหยื่อกาล

๒๐๖. ล้อเครื่องบินแตะพื้น, คนตื่นเต้น-
กับลอบเร้น..แอบซ่อน, แสนอ่อนหวาน
ละช่วงคาบภาพฝัน..แห่งวันวาน
ก็แผ่ซ่านสู่พักตร์...สุดกัก-ล้าง

.
.
ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
14 มีนาคม 2014, 06:27:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #5 เมื่อ: 14 มีนาคม 2014, 06:27:PM »
ชุมชนชุมชน

๒๐๗. แว่ว..ยินเสียงภาพข่าว..นั้นยาวอยู่
เป็นภาพหมู่ซากปรัก..พัง, หัก-ขวาง
กลาดเกลื่อนความมอดดับ..ชีพอับปาง
ทอดเรือนร่างเห็นอุจาด..บนหาดทราย

๒๐๘. ทั้งถิ่นไทยต่างด้าว...ร่วมข่าวนั่น
สบตาพ่อ..แววประหวั่นก็พลันฉาย
นึกสังหรณ์ใจอยู่..ไม่รู้วาย
ผู้ล่วงหน้าจะเป็นตาย..หรือ..ร้าย / ดี

๒๐๙. ภาพข่าวฉายซ้ำซ้ำ...เฝ้าย้ำเรื่อง
ชีพปลิดเปลืองลบเลือน..อยู่เกลื่อนที่
ค่อยค่อยรู้เรื่องราว..ในข่าว-มี
ว่าปถวีสั่นคลอนมาก่อนนั้น

๒๑๐. ก่อนเคลื่อนคลื่นชลธี..ขยี้ขย้ำ
โถมหลากกระแสกระหน่ำเข้าห้ำหั่น
จึงชีพชนม์หมู่ผองราวต้องทัณฑ์-
ดับอยู่ท่ามขอบขันธ์ห้วงอรรณพ

๒๑๑. ละภาพผ่านเผยต้องสู่คลองเนตร
ก็ยินเหตุแจ้งอยู่ไม่รู้จบ
ละภาพความจาบัลย์..ก็ครันครบ
ค่อยตระหลบบทโศกขึ้นโบกโบย

๒๑๒. ละภาพการณ์ผ่านย้ำ..ซ้ำซ้ำหน
ล้วนภาพหม่นหมองไห้..ห้วงใจโหย
สิ้นกระแสมหาสินธุ์..ก็รินโรย-
เป็นน้ำตาปร่าโปรย...กับวางวาย

๒๑๓. แว่ว...พ่อติดต่อผ่านสถานทูต
ยินเสียงพูด..สับสนว่าคนหาย
พ่อบอกนามเพื่อนผอง - รวมน้องชาย
ก่อน-นิ่งงันเงียบคล้าย...เรื่อง-ร้ายแล้ว

๒๑๔. พ่อค่อยหันหน้ามอง, จับจ้องเห็น
กุมกอดมือเยียบเย็น..ใจเต้นแผ่ว
เขาหานานเต็มที...ไร้วี่แวว
เกรงจะแคล้วคลาดกัน..แต่วันนี้

๒๑๕. นั่งซึมรอต่อเครื่อง..ใจเงื่องหงอย
หวัง..ที่คอยคล้ายกระพริบ..อยู่ริบหรี่
จะซบร่างอยู่ก้น..ชลธี
หรือค้างขอนธรณี...หรือหนีทัน..?



.....พบหน้า....


๒๑๖. เมื่อยินเสียงโทรศัพท์..แล้วรับ-ฟัง
เสียงอีกฝั่ง..บรรยายข่าวร้ายนั่น
แววกังวลฉายวับขึ้นฉับพลัน
รับปากขันอาสา..ช่วยหาคน

๒๑๗. เก็บกระเป๋า..เดินทางแต่สางตรู่
หวังช่วยครู..หาน้องผู้ล่องหน
แม้นความหวังที่เหลือ..น้อยเหลือทน
ที่มุ่งขวนขวายช่วย...ก็ด้วยใจ

๒๑๘. ถึงที่พักโทรศัพท์...ลำดับแรก
ก็ยังแปลกใจอยู่...จนรู้ได้
คิดถึงคุณพี่, คุณครู...หรือผู้ใด
ดูเถิดใจกระตือรือร้นพิกลนัก...

๒๑๙. ที่ห้องโถงโรงแรม..ทั้งแก้ม-หน้า
เหมือนรอให้สายตา..ลอง-ฝ่าหัก
ใจเอยเมื่อ..ตาประนอม..ละม่อมพักตร์
ราวถูกกักกุมสิ้น..ทั้งวิญญาณ

๒๒๐. ขัดเขินกับความคิดในจิตตน
ต้องคอยป่น, ปัดปรุง-ความฟุ้งซ่าน
มองสาวน้อย..ตาประวิง..อยู่นิ่งนาน
ก่อนค่อยค่อยเบือนผ่าน...อ่อนหวานนั้น

๒๒๑. มือไหว้เคารพครู..กับผู้-พี่
เรื่องร้ายที่..เมื่อฟัง..ก็ยังหวั่น-
เกรงจะสายเกินการณ์..ด้วยผ่านวัน
หากรอด-คงคับขัน..แล้ววันนี้

๒๒๒. ใครหนึ่งเฝ้าชำเลือง..อยู่เบื้องหน้า
อย่างลอบเร้น..สายตา..ชายมา-ถี่
งันเงียบกิริยา..ท่วงท่าที
บุพการีทั้งคู่...ฤๅรู้ทัน

๒๒๓. งามเจ้าเอย..รับรู้แต่อยู่ใกล้
จนถิ่นห้วงดวงใจ..ถึงไหวหวั่น
ละม่อมหน้าสบซ้ำ..สุดจำนรรจ์
ราวจะสั่นโยกล่วงทั้งดวงมาน

๒๒๔. สบชม้ายชำเลืองคนเบื้องหน้า
เหมือนในตาวาบเงาคอยเผาผลาญ
คล้ายรอยยิ้มแฝงรับอยู่นับนาน
คลี่รอยหวานบ่มไล้หัวใจคน

๒๒๕. เกรงคุณพี่, คุณครูจักดูเห็น-
แววตาเร้นลอบชายอยู่หลายหน
เกรงนักแววตาใคร..ที่ไหววน
จะคอยปรนเปรอให้..น้อมใจรับ

๒๒๖. ราวประกายสายรุ้ง..ปลีกคุ้งฟ้า
เจ็ดสีจ้าเหลื่อมล้ำเป็นลำดับ
ทอดทอนัย..ผ่านเนตรเป็นเลศลับ
ประโลมหวานโจมจับให้อับจน

๒๒๗. ตกลงช่วยติดตาม..สอบถามข่าว
สืบสวนเสาะเรื่องราว, ครั้งคราวหน-
ที่เบาะแสบอกกล่าวมีข่าวคน-
สูญหายให้สืบค้น...ตราบจนรู้

๒๒๘. หรือจนกว่าจะพบ, เป็นศพซาก
ทิ้งร่างฝากสังสาร, เคลื่อผ่านสู่-
ดินแดนแห่งโอภาส, พิลาสพบู
และมวลหมู่อัปสร..ลอยว่อนวน...



....รอบคำนึง

๒๒๙. ริ้วลมหนาวผ่าวผ่านอยู่นานเนิ่น
เข้าหยอกเอินแก้วประทิ่น..หอมถิ่น-หน
อีกหอมยิ่ง..หอมซึ้งจนอึงอล
พาใจวนว่ายหอมไม่ยอมร้าง

๒๓๐. ลมเอย..พลิ้วผ่านสู่ให้รู้สึก
โอนรำลึกซึ้งอยู่อย่ารู้ห่าง
กระซิบสื่อความนัยน้ำใจนาง
ร่วมสืบสร้างแต่ในน้ำใจเดียว

๒๓๑. เป็นหยาดน้ำใจหลั่ง..จากฝั่งทรวง
มอบตอบแทนแหนหวง..ให้หน่วงเหนี่ยว
ดั่งเช่นเชือกสองเส้นฟั่นเป็นเกลียว
เพื่อกอดเกี่ยวผูกพันนิรันดร์ไป

๒๓๒. หมายกรุ่นหอมกลิ่นแก้ว..ได้แผ่วผ่าน
สู่รูปคราญกล่อมขวัญ..จนหวั่นไหว
ก่อนลมผ่าวผ่านฤดีผู้มีใจ
ประโลมให้ดวงจิต..สัมฤทธิ์รู้

๒๓๓. ว่ามีปรารถนาหนึ่ง..คำนึงหนัก
จะฝ่าหักขวางขวาก..เห็นยากอยู่
เกิดแต่เมื่อรูปเห็น..และเอ็นดู
ร่วมน้อมสู่รุมรัดสัมผัสรอย

๒๓๔. ในท่ามกลางลมหนาว..กลับผ่าวร้อน
ด้วยอาวรณ์รุมแล้ว..แม้นแผ่วค่อย
หากหัวใจหนึ่งผู้..ย่อมรู้คอย
เต็มละห้อยห่วงเห็นไม่เว้นวาย

๒๓๕. แอบอ้อมกอดลมหนาวมายาวนาน
จนสะท้านใจอยู่ไม่รู้หาย
ที่หวังให้คลุมครอบอยู่รอบกาย
คือรูปหมายให้ละเมียดละไมทรวง

๒๓๖. เมื่อถวิล..มากครันเกินกั้นกีด
ทั้งประณีตเหลือแสน, ความแหนหวง-
ก็เริ่มไหลเข้าประดัง..ใจทั้งดวง
หอมก็หน่วงอกย้ำ..อยู่ค่ำเช้า

๒๓๗. หมายดวงใจ..งามพิสุทธิ์เป็นจุดมุ่ง
บ่มบำรุงส่วนเสี้ยว..ความเปลี่ยวเปล่า
คืนร่องรอยรูปเหมือน-ผู้เลือนเงา
จึงแนบเนาอ่อนหวานแห่งกาลนี้

๒๓๘. กาลที่ความงดงาม..ลุกลามอก
จะคอยปกปิดไว้ก็ใช่ที่
ใจเอย..ละห้อยหาและท่าที-
แห่งไมตรี..ฤๅจะส่ง..ถึงนงคราญ

๒๓๙. หลังลมหนาวผ่านระลอก..กรุ่นดอกแก้ว
ก็หอมรื่นทั่วแล้วทุกแนวผ่าน
และเหมือนความเต็มตื่นของชื่นบาน-
ได้จดจารถ้วนแล้ว..ทั่วแววตา

.
.
ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
14 มีนาคม 2014, 06:31:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #6 เมื่อ: 14 มีนาคม 2014, 06:31:PM »
ชุมชนชุมชน

....โศกาสมัย......

๒๔๐. จนแจ้งข่าวสืบทราบ...ผู้สาปสูญ
จึง..อาดูรผ่านเยือน...จนเหมือนว่า
ความรักความอาทรแต่ก่อนมา-
จากคุณอาจะสิ้นเสียง..แต่เพียงนี้

๒๔๑. เริ่มแล้วความชอกช้ำ..การคร่ำครวญ
กลับย้อนส่วนโศกแหนเข้าแทนที่
แรงพิลาปท่วมใจ..ผู้ใยดี
ด้วยเทวษทุกข์ทวีเข้าบีฑา

๒๔๒. และบทโศกเริ่มแล้ว..เสียงแผ่วโหย
ท่ามกลางลมเฉื่อยโชย, โบกโบยหา
เป็นบทปลงสังเวช และเพทนา
ในคาบกาละล่ม...แห่งลมปราณ

๑๔
๒๔๓. ฮึมเห่..ทะเลกละจะกล่อม
พิเราะล้อมประดาลาญ
น้อมสู่พระผู้สิริพิศาล
ณ สถานพิมานสรวง

๒๔๔. ปลิดป่นละพ้นทุขะสภาพ
บุญะ-บาปสิบำบวง
ลอยสินธุสิ้นขณะทะลวง
ตละห่วงก็สูญหาย

๒๔๕. บทเพลงประเลงพฤติพิโยค
วตะโบกก็รำบาย
อาดูระพูนพละสยาย
อุระคล้ายบ่อาจขืน

๒๔๖. สร้อยเสียงประเดียงนยะประณีต
กละคีตประโลมคืน
กล่อมให้สมัยจิตะทะมื่น
ยุติขื่นและผ่อนคลาย

๒๔๗. ร่ำกลิ่นประทิ่นกุสุมะพรรณ
ทุขะนั้นก็รำบาย
โดยเนตรและเลศรหัสะฉาย
ดุจะหมายละลายหมอง

๒๔๘. อบอุ่นละมุนรติพิสัย
ตละใจก็จับจอง
ลอบเร้นบ่เว้นระยะจะมอง
นยะผองก็เริ่มเผย

๒๔๙. สืบสร้างระหว่างขณะเทวษ
ทุรเภทะรำเพย
โอ้..ใจไฉนจะละจะเลย
จะละเชยจะล่วงชม

๒๕๐. โอ้..งามละลามขณะถวิล
ระอุจินตะจ่อมจม
แว่วเพียงก็เสียงอุระระงม
เพราะภิรมยะรัดรึง


....ความรัก....

๒๕๑. เกิดแต่เมื่อใจหนึ่งถูกตรึงล่าม
ผ่านคาบยามด้วยฤทธิ์แรงคิดถึง
มีอ่อนโยนอบร่ำห้วงคำนึง
อีกซาบซึ้งแอบอำอยู่ค่ำเช้า

๒๕๒. ราวแรงรื่นรมยาคันธารส
นั้นโหมบทบาทเยือน..ไม่เหมือนเก่า
โอนอ่อนหวานซ่านแล้วแม้นแผ่วเบา
หากอ่อนโยนรุมเร้า...อยู่เช้าเย็น

๒๕๓. จะรับรู้บ้างไหม..ว่าใจหวั่น
จากบีบคั้นรอคอยละห้อยเห็น
จะรู้ไหมเหงาเงียบเกินเปรียบเป็น
จากลอบเร้นอาวรณ์..แอบซ่อนนัย

๒๕๔. หวั่นแต่สองแววตา..เกินกว่าซ่อน
จะเผลอเผยนัยซ้อนยามอ่อนไหว
หวั่นทรวงร่ำรัวร้องเสียงก้องไกล
จนหนึ่งใครผู้ถวิล..อาจยินความ

๒๕๕. หวั่นเกรงใจร่ำรอ..เผยต่อหน้า
บอกห่วงหาเกินกักเกินหักห้าม
เกรงตาเผยความนัยจนไหววาม
ใจจักหวามตามตาละล้าละลัง

๒๕๖. รู้หรือไม่อาวรณ์ที่ซ่อนอยู่
เริ่มช้อยชูงดงามขึ้นตามหวัง
รู้หรือไม่ปรารมภ์เคยข่มบัง
จักเริ่มเรื้องกำลังเข้าสั่งการ

๒๕๗. เผยออกฤๅ..ความนัยเพื่อใครรู้
จะเก็บอยู่ไยเล่าให้เผาผลาญ
เผยเถิดแม้นขัดเขินมาเนิ่นนาน
ใจฤๅจักร้าวรานกับการณ์นี้

๒๕๘. เดียรดาษพรรณผกาในป่าหอม
เพื่อด่ำดอมภุมรินย่อมบินปรี่
ที่อบอวลน้ำใจและไมตรี
ย่อมสุดที่คำพจน์จะลดรา

๒๕๙. ย่อมดื่มด่ำบริบทเกินปลดปล่อย
จนเฝ้าคอยทาบทวงด้วยห่วงหา
ภุมรินแหนหอม..ใจน้อมมา
เป็นใจแหนคุณค่า..เกินกว่าล้าง

๒๖๐. รู้กันแล้วใช่ไหม..อกใจนี้
อกใจที่แหนหอมไม่ยอมห่าง
เผยออกสิ้นพจน์คำเคยอำพราง
เพื่อมอบวางสู่ขวัญ..ในวันนี้

....สองฝั่งฟ้า....


๒๖๑. ร่างคุณอา..มอดไหม้..ด้วยไฟเผา
เหลือความเปล่าเปลี่ยวแสน..เข้าแทนที่
สุดสิ้นความทุกข์ใด..ที่ใจมี
เหลือชั่ว, ดีย้อนย้ำ...ให้คำนึง

๒๖๒. ก็เท่านี้..แค่นี้..หนอชีวิต
หลังชีพถูกเด็ดปลิด...ที่คิดถึง-
ย่อม-ความดี, คุณค่า..ที่ตราตรึง
เคยซาบซึ้ง..กรณีอย่างที่เป็น

๒๖๓. จวบถึงยามต้องจาก...จำพรากรอย
ดูเถิดเนตรใครชม้อย..ละห้อยเห็น
ก้าวผ่านบันไดเทียบ...ใจเยียบเย็น
และแววเต้นในตา..ช่างอาวรณ์

๒๖๔. เครื่องบินเสียงอึงอื้อ, คน-มือไหว
และทรวงหนึ่งอาลัย..เกินไถ่ถอน
ทุกช่วงต่าง..โลกต่ำ-ห้วงอัมพร
คือช่วงตอน...แรงถวิลคอยดิ้นรน

๒๖๕. ค่อยค่อยผิดสังเกต...รอยเลศนัย-
ลูกสาวใจเหม่อลอย..อยู่บ่อยหน
และอีกหลายครั้งคราว..เนตรวาวจน-
คล้ายอ่อนหวานปลาบปน..พิกลนัก

๒๖๖. และคล้ายคล้ายภาพเหมือน..อันเลือนราง
ค่อยค่อยสร้างพันธะ..ให้ประจักษ์
ผ่านแววตาเว้าวอน..ไม่ผ่อน-พัก
ใจหนึ่งก็ซึ้งหนัก..สุดหักล้าง

๒๖๗. ตาหลับพริ้ม..สาวน้อย-แม่พลอยพิศ
ในห้วงจิต..เอ็นดู..ไม่รู้สร่าง
แม้นเหมือนรู้เงื่อนงำ..ลูกอำพราง
แต่ก็วางใจอยู่...เพราะรู้ใจ

๒๖๘. เกิดขึ้นแต่เมื่อไร...แปลกใจอยู่
มารับรู้-ผูกพัน, ความหวั่นไหว
ก็เมื่อถึงยามพราก..ต้องจากไกล
แววอาลัยลอบเร้น..เผย-เห็นรอย

๒๖๙. จากเด็กหญิงตัวน้อย..เฝ้าคอยอ้อน-
ให้”ใคร”ย้อนมาสนุก..อยู่ทุกบ่อย
อยู่เล่นหัว, หยอกล้อ..จนรอคอย-
อย่างเงียบหงอยเมื่อ”ใคร”..นั้นไกลตา

๒๗๐. ผูกพันใกล้ชิดสนิทสนม
เฝ้าปรารมณ์รูปรอยละห้อยหา
กระทั่ง”ใคร”ห่างลับ..ไม่กลับมา
ก็คล้ายว่า..คอยอยู่..ไม่รู้วัน

๒๗๑. พบอีกครั้งเมื่อโต..เป็นสาวรุ่น
ตาอ่อนโยน, อบอุ่น-สบ-วุ่น-หวั่น
เพรงสัญญาเหลื่อมซ้อนแต่ตอนนั้น
เชื่อมสองขวัญ..ผูกไว้ด้วยนัยเดียว

๒๗๒. อยู่ไกลห่างต่างฟ้า..ถิ่นอาศัย
ทั้งต่างวัย..กลับพ้องมาข้องเกี่ยว
หนึ่ง..ร้างคนเคียงคู่..ยอมอยู่เดียว
หนึ่ง..เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว..อยู่เดียวดาย

๒๗๓. อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตดุ่มด้น..ร่วมขวนขวาย
พลิ้วผ่านผืนเศวตพัสตร์..สะบัดปลาย
จนเกษายาวสยายสะบัดลม

๒๗๔. ล่องลอยสู่ฟ้าใหม่ที่ไกลห่าง
ในท่ามกลาง..หอมหวานแผ่ซ่าน-บ่ม
สุมาลีโค้งค้อม...ใจจ่อมจม-
ลงแนบน้อมอภิรมย์...เกินข่มลา

๒๗๕. สุดรอคอยค่อยเห็นว่าเป็น”เขา”
กี่ภพกาลผ่านเล่าที่เฝ้าหา
เหมือนพิมพ์ภาคฝากมั่นลงสัญญา
ให้ตรึงตราแต่ในน้ำใจเดียว

๒๗๖. สุดอาวรณ์จะซ่อนแล้วในแววเนตร
จึงผันเลศนัยแผ่ให้แลเหลียว
หวังเชื่อมสายสัมพันธ์ช่วยขันเกลียว
ร่วมโน้มเหนี่ยวคำนึงจดถึงกัน

๒๗๗. เหมือนโดดเดี่ยวเปลี่ยวว้างจักจางหาย
แต่เมื่อสายตาประนอม..เข้ากล่อมขวัญ
แฝงอาทรค่าล้ำเป็นกำนัล
ร่วมเสกสรรจินตนาให้ตราตรึง

๒๗๘. อันว่าเล่ห์เสน่หาเมื่อปรากฏ
ก็สุดลดทอนพิษ..ความคิดถึง
ท่วมในอก..เกินคำ..อาจรำพึง
มีแต่ซึ้ง..อาลัย..คอยไหวเวียน

๒๗๙. หลับตาลงแต่ละครั้งก็ยังอยู่
คือรอยอุ่นวาบสู่ไม่รู้เปลี่ยน
จะลบเลือนเหมือนยากเกินพากเพียร
จะกร่อนเกรียน...คงเมื่อขันธ์ถึงวันวาย

๒๘๐. หลับเนตรพริ้มอิ่มแก้มนั้นแกมเรื่อ
ก็โดยเชื้ออาวรณ์..กำจรหมาย
สนองตอบเสน่หาในตาชาย
สบแววฉาย..ก็ถึงเพ้อ..ใจเหม่อลอย

.
.
ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
15 มีนาคม 2014, 07:05:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #7 เมื่อ: 15 มีนาคม 2014, 07:05:AM »
ชุมชนชุมชน

....อาลัยแห่งใจชาย....

๒๘๑. โฉมเอยโฉมนุชเจ้า....จอมใจ
แต่จำพรากจากไกล............เนิ่นแล้ว
ป่านนี้จักเป็นไฉน................นุชแม่
ใครจะกล่อมถนอมแก้ว........กอดให้-หนาวหาย ฯ

๒๘๒. เล็งดวงสุริยะแปล้......ปลาบฉาย
ยิบยิบระยับปลาย...............พฤกษ์พร้อย
ปานเพชรทับทิมราย............ราวป่า
เช่นพิศเม็ดถนิมห้อย............ห่วงสร้อยคอสมร ฯ

๒๘๓. รอนแสง-รอสู่อ้อม.....อัสดง
โอนฤทธิ์มหิทธิภาคลง.........ลับฟ้า
ดวงวันย่อมคืนวง................เวียนกลับ
ใครหนึ่งแต่ลับหน้า.............จักย้อนกลับหรือ ฯ

๒๘๔. ไกลศรีกุสุเมศเนื้อ.....นงพาล
ห่างรูปห่วงรมยะมาน...........มอดเชื้อ
หากเพียงแค่หิมพานต์.........ขวางใช่ ไกลนา
รอ..แต่ใจนิ่มเนื้อ...............ร่วมน้อมตอบสนอง ฯ

๒๘๕. ราตรีลีลาศด้วย.........แสงจันทร์
ทอทาบแต่งพฤกษ์พรรณ.....พุ่มไม้
คำนึงนิ่มนวลวรร-...............โณภาส
เดือนขจ่างพักตร์แจ่มใกล้.....กล่อมเฝ้าเร้าฝัน ฯ

๒๘๖. วงจันทร์จำรัสฟ้า.......คนครวญ
หลงว่าวงพักตร์นวล............แจ่มเนื้อ
หอมเอยแอบลมหวน..........อวลกลิ่น
หลงว่ากลิ่นนวลเอื้อ............อบให้เสพหอม ฯ

๒๘๗. ดวงเดียวคือเกศแก้ว...กามน
ดินจดฟ้าบวงบน.................บอกรู้
กี่ภพชาติวัฏฏะวน...............เวียนอยู่ ก็ดี
ขอสบแม่ยอดชู้.................ทุกเวิ้งกรรมเวร ฯ

๒๘๘. ฤๅรอยโฉมแม่เจ้า......ใจรัก
รุมอุระเกินฝ่าหัก.................รติห้อม
นอนนั่งหม่นหมองพักตร์.......เผือดเทวษ ถวิลฤๅ
ถวิลสบรอแนบน้อม.............นอบรู้อาลัย ฯ

๒๘๙. โอ้ปรานีนิ่มเนื้อ.........โกมล
แต่สบสยบจำนน.................นุชเจ้า
ตาเอยจักคลายปรน.............เปรอรูป ไฉนฤๅ
เห็นแต่คอยพิศเฝ้า...............ฝากน้ำใจถนอม ฯ

๒๙๐. คิดคืนคิดค่ำเช้า..........ฤๅวาย
ยิ่งกรุ่นสุมาลีกราย...............กลิ่นต้อง
หอมหวานผุดถวิลราย...........รุมอก
รุมแทรกจนสุดป้อง..............ปัดให้คะนึงหาย ฯ

๒๙๑. ยามดึกสงัดสิ้น..........เสียงคน
มารุตระเรื่อย, ชล...............ฉ่ำหล้า
ถวิลหนึ่งอกหนึ่งคน.............ครวญคร่ำ
เนื้อเหน็บหนาวจักคว้า..........ฝากอ้อมทรวงใคร ฯ

๒๙๒. สาวน้อยมาโนชญ์หน้า....แนมสุวรรณ พี่เอย
ลมจะโลมผิวพรรณ.............ผ่าวเนื้อ
ใครเลยจะโลมขวัญ............กอดกระชับ
อ้อมอกเอาอุ่นเอื้อ..............อ่อนน้องตระกองนอน ฯ

๒๙๓. ป่านนี้ใครจักอุ้ม.........แอบนอน
โอบร่างตระกองกร..............กอดเนื้อ
กระซิบฝากคำวอน..............หว่างโสต
จุมพิตโอษฐ์อิ่มเอื้อ.............นิ่งช้า-นานชม ฯ

๒๙๔. วอนฝากอัครเรศน้อง...นางเดียว
ฝากทิพท่านแลเหลียว..........สักน้อย
คืนนี้ท่ามจันทร์เรียว.............รอนรูป
จงจิตหนึ่งเคลิ้มคล้อย..........ผ่านฟ้าพะนอฝัน ฯ

๒๙๕. ธูปเทียนประทีปตั้ง.....บุษบา เพลิงเอย
จุดแจร่มชวาลา..................ร่วมน้อม
รำลึกพุทธปฏิปทา...............บูชิต พระเอย
สัททะตั้งมั่นพร้อม...............พรั่งพร้อมสิ่งสักการ ฯ

๒๙๖. จิตประเทิงทัศนะเอื้อ...อธิษฐาน
หากคู่เคยสาบาน................บอกไว้
ทุกรอบวัฏฏะสงสาร............จักสบ กันนา
จะอยู่ไกลหรือใกล้..............ย่อมต้องมาเจอ ฯ

๒๙๗. ขอกุศลเสี่ยงตั้ง.........สัตยา ธิษฐานแฮ
ปลุกบำบวงพจนา................เนิ่นย้อน
เข้าอำอกพนิดา..................ดวงสวาดิ
ให้ระรุมรุ่มร้อน...................หยั่งรู้ปรารมภ์ ฯ

๒๙๘. ร่ำแบ่งบุญภาพพร้อง...รำพัน
ถวิลนึกคะนึงขวัญ...............เนตรแก้ว
ภพก่อนนิราศกัน................กรรมพราก แม่เอย
ภพปัจจุบันอย่าแคล้ว...........คลาดห้องห่างสมร ฯ

๒๙๙. ดาวเดือนกระดากฟ้า…เฟือนสี
จวนรุ่งดวงรัชนี...................เริ่มคล้อย
คะนึงโฉมจำพรากลี-............ลาลับ นานแม่
เย็นหยาดน้ำค้างย้อย...........ยะเยือกขั้วหัวใจ ฯ

๓๐๐. เดือนพ้นอุรภาคเพี้ยง...ภินทนา
หมายเปล่าเปลี่ยวคะนึงหา.....ต่างห้อง
แรงกระพริบดาริกา..............ต่างประทีป
หอมกรุ่นสุมาลย์ต้อง............ต่างอ้อมทรวงขวัญ ฯ

๓๐๑. หวนกมลมาเลศสร้อย..สงสาร พี่เทอญ
แต่จำพรากทรมาน..............ยิ่งแล้ว
ฝากลมช่วยกล่าวขาน..........คำสู่ ทรวงนา
มอบรัก...มอบใจแก้ว..........กลับย้อนแหล่งสยาม ฯ


ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
15 มีนาคม 2014, 07:07:AM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #8 เมื่อ: 15 มีนาคม 2014, 07:07:AM »
ชุมชนชุมชน

....สต็อคโฮล์ม....
....ฤดูร้อน...มิถุนายน ๒๕๔๘....

๓๐๒. ใครหนึ่งเดินทอดน่อง...คล้ายท่องเที่ยว
ก้าวไปอย่างโดดเดี่ยว...ดูเปลี่ยวหงอย
หากมั่นคงเพียงพอ..กับรอคอย-
ของอีกใจที่ละห้อย...ตาพลอยชะเง้อ....

๓๐๓. ในสวนสาธารณะที่ชานกรุง
มีใจมุ่งหมายปอง..เฝ้ามองเหม่อ
มีอบอุ่นอ่อนไหว...จะได้เจอ
มีพร่ำเพ้อในอก..สะทกสะท้อน

๓๐๔. ระหว่างเส้นทางเท้า..ย่างก้าวเหยียบ
ก็พูนเพียบอาลัย...เกินไถ่ถอน
เส้นทางทอด..เสน่หา, ความอาวรณ์-
ก็โหมตอน...เติบตั้งเกินรั้งลง

๓๐๕. ละย่างยก..อบอวลทั้งส่วนจิต
ปฏิพัทธ์เริงฤทธิ์..เกินคิดบ่ง
แต่ละเมอครวญคร่ำ..เฝ้าจำนง-
ขอร่วมวงเวียนว้ฏฏ์..เป็นสัตยา

๓๐๖. แต่พ่อยื่นโทรศัพท์..ให้รับสาย
นึกว่าเพื่อนนัดหมาย..กลับคล้ายว่า-
ปลายสายเงียบไปนาน..พอผ่านมา-
พ่อส่งให้เจรจา...ช่วยพาที

๓๐๗. ก่อนจะยินเสียงชาย..อีกฝ่ายหนึ่ง
จนอ้ำอึ้ง..อึงอวลในส่วนที่-
แรงภิรมย์, รอบเขษมความเปรมปรีดิ์-
นั้นล้นปรี่วาบแล้ว..ในแววตา

๓๐๘. เก้อเขินสะเทิ้นไปทั้งใจกาย
หลังแว่วเสียงนัดหมาย..ก็บ่ายหน้า-
ไปลบเลือนทรมาน..ที่ผ่านมา
คลายเงื่อนปมพันธนา..ค้างคาใจ

๓๐๙. เฝ้ารอคอยอ่อนไหวอยู่ในที่-
อ่อนหวานแห่งดวงฤดี..เริ่มรี่ไหล
แต่เมื่อความอ่อนโยน..จากคนไกล
ผ่านมาให้สัมพันธ์อย่างมั่นคง

๓๑๐. ค่อยค่อยผ่านช่อกุสุม..ปวงพุ่มพฤกษ์
โอนรำลึกทุกหลืบ..คอยสืบส่ง
ด้วยความงดงามล้ำ..ผู้จำนง-
ร่วมค้ำคงจุดหมาย..ที่ปลายจร

๓๑๑. ค่อยค่อยผ่านแสงอุสุมอันรุมเร้า
จนหนึ่งเงารูปถวิล..หมายยินอ้อน-
นั้นปรากฏโฉมอยู่..เหมือนรู้วอน-
เว้าในจิตที่รุมร้อน..หันย้อนมา...

๓๑๒. คนสองคน, สองใจ..ความนัย-หนึ่ง
มีซาบซึ้ง, โอนอ่อน, อาวรณ์หา-
มีห่วงเห็น, ห่วงใย, เมื่อไกลตา
อาจพรรณนา...ฤๅถึง-สักครึ่งใจ

๓๑๓. โสตเอย...เมื่อสดับ.ย่อมรับรู้-
ที่เต้นอยู่..แว่วสั่น..จากหวั่นไหว-
อันเร่งเร้ารอบถวิล...เมื่อกลิ่นไอ-
อ่อนโยนของคนไกล..เริ่มใกล้มา

๓๑๔. ลุกขึ้นยืนรับหน้า..สบตา-เขิน
อีกฝ่ายเพ่งมองเพลิน..ก่อนเดินหา
รับไหว้, จับมือไว้...ยิ้ม, นัยน์ตา-
ทอดสบ..เนิ่นนานช้า..รูปหน้านั้น...

๓๑๕. ผกายเนตรลึกล้ำ..ระส่ำไหว
เมื่อหนึ่งหน้าโน้มใกล้..หนึ่งใจสั่น
ค่อยค่อยโอบกอดร่าง..ท่ามกลางพรรณ
จุมพิตแก้มเนียนหนั่น..กล่อมขวัญน้อย

๓๑๖. มองออดอ้อน..สบตา-แววตาเต้น
เกินซ่อนเร้นรติบท...จึงปลดปล่อย-
แรงอาลัย, อาวรณ์ให้ย้อนรอย-
ทดแทนการรอคอย..ละห้อยนั้น

๓๑๗. ใต้อ้อมกอดละม่อมละมุน..แก้มอุ่นแอบ
เมื่อปากหนึ่งโน้มแนบ, ก็แทบสั่น-
กับอ่อนหวานซ่านซึ้ง..เร้ารึง, พลัน-
ก็โลมขวัญอ่อนระทวย..ลงด้วยใจ

๓๑๘. แตะตื่นความซาบซึ้ง..คำนึงหา
ที่โหมบ่า..เกินการณ์จะต้านไหว
จึงสองแขนกระหวัดรอบ..โอบตอบใคร
ด้วยอาลัยเสน่หา..เกินกว่าเร้น

๓๑๙. เรียวปากอิ่มจบแต้ม..ตรงแก้มชาย
เนตรเขียวขาบผ่องผกาย..ก็ฉายเห็น-
ความรื่นรมย์หอมหวาน..ที่ผ่านเป็น
แทนขื่นเข็ญ..เฝ้าหมาย..แต่ฝ่ายเดียว

๓๒๐. แปลกใจตนเหลือเอ่ย...คนเคยอุ้ม-
กลับเร้ารุมใจสาว..พาเปล่าเปลี่ยว-
นั้นเริดร้างห่างกาย, ความดายเดียว-
ทุกส่วนเสี้ยว..ก็ถูกกลบจนลบกลืน

๓๒๑. อบอุ่นในอ้อมกอด..การพลอดพร่ำ
แทนเก็บงำอารมณ์..คอยข่ม-ขืน
การรอคอยละห้อยห่วง..ทุกช่วงคืน
ก็ถูกถมเต็ม-ตื้น ด้วยรื่นรมย์

๓๒๒. ยอมรับว่า..แสนรัก..เสียหนักหนา
มองใกล้ใกล้เต็มตา..ก่อนหน้าก้ม-
ลงมาจบหวานหอม..ใจจ่อมจม-
กับเนตรคมเขียวขาบ..ไหววาบรับ

๓๒๓. หอมหน้าผาก, ตาระยับ..ค่อยหลับพริ้ม-
เรียวปากอิ่มจบซ้ำเป็นลำดับ
แรงอาวรณ์..เริงรุดจนสุดนับ
ตราบระทวยร่างทับลงกับทรวง

๓๒๔. กอดร่างน้อยแนบกระชับอยู่กับอก
เกินถ้อยยกอาจแทนความแหนหวง
ที่หวาดหวั่นเงียบเหงา..ก็เปล่าปวง
จะอาจล่วงกำลังมาสั่งการ

๓๒๕. ซบหน้าแอบ-แนบแขน..เหนี่ยวแขนเกาะ
เรียวนิ้วเลาะไล้แก้ม..คนแย้มหวาน
เหมือนแว่วเพลงแผ่วประโลม..ผู้โฉมคราญ
แก้มเนียนเลือดก็ซ่าน..ขึ้นผ่านตา

๓๒๖. ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน...ผู้เลือนลับ
คิ้วจมูกเนตรระยับ..ราวกับว่า-
ผู้คุ้นเคยแต่ก่อน..ได้ย้อนมา
ตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้...

๓๒๗. ค่อยค่อยเหนี่ยวร่างน้อย..ให้พลอยลุก
เรียวร่างพลัน..โผซุก, โถมรุกไล่
ต้องคว้ากอด..ร่างหมุนซบอุ่นไอ
จึงยอมให้จูงย่าง..เส้นทางเดิน

๓๒๘. เดินมาส่งระยะหนึ่งเกือบถึงบ้าน
ช่วงเวลาผันผ่าน..ใช่นานเนิ่น
เมื่ออาวรณ์ลึกล้ำ..ที่ดำเนิน
พาเผชิญ,รับรู้, ร่วมดูแล

๓๒๙. จะมาพบคุณพี่..พรุ่งนี้เช้า
วันนี้เฝ้าหลบเลี่ยง...ก็เพียงแค่-
ขอใครหนึ่งยืนยัน..ไม่ผันแปร
ใจยังคงแน่วแน่..อย่างแท้จริง

๓๓๐. แว่วว่าจะไม่คอยให้เรียนจบ
จะมาพบ, พาทีกับพี่หญิง
จะขอขวัญเนื้ออ่อน..ไว้ผ่อนพิง-
หัวใจและทุกสิ่ง..จนตราบวาย

๓๓๑. แสนอาวรณ์อ้อยอิ่ง..ใจหญิงสาว
เมื่ออุสุม..อบอ้าวนั้นผ่าวผาย
เรียวนิ้วแตะลูบไล้..อกใจชาย
ตาสบตา..เชื่อมผกายเป็นหมายเดียว

๓๓๒. วัยเพิ่งย่างสิบเก้า..หากเงาร่าง-
รูปสรรพางค์เนียนนวล..ทุกส่วนเสี้ยว
งามเอยราวดั่งยูง...รูปสูงเพรียว
เนตรขาบเขียวก็ลึกล้ำเป็นกำลัง

๓๓๓. คนเป็นแม่ชะแง้มองจับจ้องดู
เห็นแปลกอยู่..เนตรวาบแววปลาบปลั่ง
หน้าตาก็เริงรื่นสดชื่นดัง-
ราวว่าความสมหวัง..เปล่งทางตา

๓๓๔. พรุ่งนี้..จะมีคนมาหาแม่
ปากพูด..เบือนหน้าแล..ชะแง้หา-
จนแม่กอดไว้มั่น..ให้หันมา-
มองค้นหา..เพียงครู่ก็รู้นัย

๓๓๕. พี่เขา-ใช่ไหม...ที่จะมา
เยี่ยมเยียนธรรมดา..หรือว่าไม่ ?
แล้วลูกรู้เรื่องอ้างได้อย่างไร
หรือออกไปพบกัน...ในวันนี้...

๓๓๖. วันรุ่งขึ้นพาแม่..มาแต่เช้า
คนแอบเฝ้า..ชื่นกมล..เสียล้นปรี่
ก่อนค่อยเผยปรารถนา..บอกท่าที
ค่อยค่อยชี้ให้เห็นความเป็นไป

๓๓๗. แว่วเสียงแม่-ยิน-เห็นว่าเอ็นดู
น้องชายผู้..มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว
หากยังเด็กเล็กนัก..ก็หนักใจ
เกรงยังไม่เหมาะพ้อง..จะครองเรือน

๓๓๘. จนสบแววอาลัย..ก็ใจอ่อน
แต่ละตอน..สีหน้า..แววตาเจื่อน
ภาพเนตรลูกออดอ้อน...ราวย้อนเตือน
วาบวามเหมือนดลใจ...ทำให้ยอม

๓๓๙. ให้คุณแม่อยู่คุยกับคุณพี่
และใครที่เนตรเคลียคลอ..ร่วมหล่อหลอม
ผ่องผกายหวานล้ำ..ให้ด่ำดอม
ค่อยจูงมือผ่านหย่อม..พะยอมพรรณ

๓๔๐. นานช้าแต่จำพรากเหมือนจากลับ
จนรอบวัฏฏ์เวียนกลับ..ร่วมรับ..ขวัญ
นานช้าแต่สบเนตร..รู้เลศกัน
นับนานนั้น..แค่คาบช่วง..สองดวงใจ


อวสาน
ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
04 พฤษภาคม 2014, 02:43:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #9 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2014, 02:43:PM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2014&date=04&group=11&gblog=543

O ฝนห่มลมเห่ .. O


O อัสนีครวญคร่ำ .. แสงรำร่าย
เมื่อแววตาเหลือบชายฝ่าสายฝน-
บอกถึงความอ่อนไหวของใจคน-
กลางเสียงครื้นคำรณ .. ที่บนฟ้า
O หยาดน้ำหล่นร่วง .. กลางห้วงหน-
ก่อนลิ่วหล่นพรากแถนทั้งแสนห่า-
เยี่ยงอาวรณ์หล่นแล้วในแววตา
เสน่หาแสนอบอุ่น .. ก็หมุนรอ !
O เจ้าดอกกุสุมาลย์ ..
เมื่อลมวีวาดผ่าน, ทั้งก้านช่อ-
ก็ไหวรูปรุมเร้าพะเน้าพะนอ-
รับรื่นหล่อเลี้ยงนวล .. ให้ชวนชม
O งามกลีบอ่อนเนียนเกลี้ยงจักเบี่ยงรูป-
รับโลมลูบลมล้อมเข้าห้อมห่ม
เนียนรูปปรางรอบล้อม, ที่จ่อมจม-
คืออารมณ์ถวิลชู้ .. ไม่รู้วาง
O โอภาสเคยรองเรื่อที่เหนือฟ้า
บัดนี้ลาลับถิ่นแต่สิ้นสาง
เหลือหม่นมืดโรยตัวอยู่ทั่วทาง
พร้อมแววอ้างว้างกลั้วอยู่ทั่วตา
O เมื่อเม็ดฝนหล่นลิ่ว .. ลมพลิ้วผ่าน-
ความอ่อนหวานทุกรอยก็คอยท่า
มีหัวใจ .. มีขวัญ .. คอยบัญชา
ปรารถนาซ่อนเร้นก็เค้นใจ
O คลื่นฝนห่มลมเห่ .. ที่เขลางค์
จนฟ้ากว้างสิ้นบทความสดใส
ธารดาวเคยวาบกระพริบ .. ที่ลิบไกล-
กลับสิ้นไร้รูปรอยให้คอยรอ
O ร่วงหล่นเม็ดลงพื้นแล้วตื่นแตก-
เป็นรูปน้ำเหยียดแยกขึ้นแตกช่อ
เมื่อนันย์ตาลอบชาย .. เหมือนฉายทอ-
แววออดอ้อนเคลียคลอ .. ให้ทรมาน
O โอ .. ระทึกสั่นไหว .. อกใครหนอ-
ฤๅ - เพียงพอเร้นซ่อนความอ่อนหวาน ?
เสียงกระซิบแทรกทรวง .. ในช่วงกาล-
ฤๅ - อาจต้านทานอยู่ .. แม้ครู่เดียว ?
O อัสนีครวญคร่ำ .. แก้มก่ำนั้น-
ก็แทรกขวัญห่วงละห้อย .. เฝ้าคอยเหลียว
บนผืนฟ้าร้างจันทร์เคยหันเรียว
เมื่อใจเหนี่ยวโน้มงามลงล่ามคา
O อัสนีผาดโผน .. แสงโชนช่วง
เมื่อความหวงแหนโฉมนั้นโถมถา-
เวียนระลอกในทรวง .. ทุกช่วงวา-
ระที่อาวรณ์ถวิล .. ยังดิ้นรน
O หล่นเม็ดลงร่วงแตก .. กระแทกพื้น
พร้อมลมรื่นโรยช่วงผ่านห้วงหน
หัวใจอีกดวงหนึ่ง .. คล้ายอึงอล-
ภาวะปนปลาบช่วง .. อีกดวงตา
O หล่นหยาดร่วงย้อย .. ดั่ง-พลอยเพชร-
ร่วงหล่นเม็ดยอแสงสำแดงค่า
เมื่ออาวรณ์อาลัย .. วาบไหวมา-
ก็เหมือนว่า .. วาบล่วงถึงดวงใจ
O ความอบอุ่น .. อ่อนหวาน ก็ปานว่า-
จะเผยออกแก่ตาจนพร่า .. ไหว
มีอาทรโอบเอื้อด้วยเยื่อใย-
เริ่มหลั่งไหลหล่อหลอมให้ยอมตน
O ลมเอย .. ฝากเสียงกระซิบสั่ง-
ถึงอีกฝั่งโค้งฟ้า .. กลางห่าฝน
ช่วยหอบความอาวรณ์สุมซ้อนบน-
ความอึงอลสั่นรัว .. อีกหัวใจ
O ฝนเอย .. ฝากเสียงกระซิบผ่าน-
แทรกโสตคราญโอบขวัญ .. พาสั่นไหว-
ด้วยอาวรณ์ปรารถนา .. ด้วยอาลัย
พร้อมอบอุ่นโลมไล้ .. จนใฝ่คอย
O หยาดน้ำยังหล่นร่วง .. กลางห้วงหน-
ฟ้าเบื้องบนเย็นเยียบ, ความเงียบหงอย-
กลับร่วงร้างบริบท .. จนหมดรอย
แววชม้อยชม้ายรับ .. ก็วับวาว
O ระยิบเอยแววตา .. ใต้ฟ้าต่ำ
เปล่งประกายร่ายรำในค่ำหนาว
ข่มโอภาสโชนช่วงทุกดวงดาว-
ยอแสงพราวพร่างสู่ .. ถึงผู้เดียว !
O ระยิบเอยแววตา .. ใต้ฟ้าหม่น
เหมือนคอยปนปลาบรอยให้คอยเหลียว
สายเยื่อใยม้วนพันเอาฟั่นเกลียว-
โอบรัดเหนี่ยวใจกาย .. สุดคลายแล้ว
.
.
O ค่ำ, ดึก, สาง, เช้า .. จนผ่าวร้อน
ลมเหนื่อยอ่อนผ่านริ้ว .. ยังพลิ้วแผ่ว
เมื่อสองดาวคมปลาบนั้นวาบแวว-
วามผ่องแผ้วตรึงสิ้น .. จิตวิญญาณ !


ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s